ยารักษาโรคเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากต่อการดำรงชีวิต แต่ก็อาจก่อให้เกิดโทษมหันต์ได้หากใช้อย่างไม่ถูกต้อง ปัญหาความไม่ปลอดภัยจากการใช้ยาของคนไทยที่พบบ่อย ได้แก่ การแพ้ยา ใช้ยาเสื่อมคุณภาพ ใช้ยาเกินขนาด หรือการได้รับปริมาณยาในขนาดที่ไม่เหมาะสม เช่น มากไป หรือน้อยไป และการใช้ยาไม่ถูกกับโรค เป็นต้น ซึ่งปัญหาเหล่านี้ ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากความไม่เข้าใจและพฤติกรรมการใช้ยาที่ไม่เหมาะสมของตัวผู้ป่วยเอง ในอีกมุมหนึ่งนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัญหาความไม่ปลอดภัยจากการใช้ยาของผู้ป่วยอาจเกิดจากระบบสาธารณสุขและการให้บริการทางเภสัชกรรมที่ทำได้ไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะโรงพยาบาลต่างจังหวัด เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยยังขาดแคลนอัตรากำลังของเภสัชกรประจำโรงพยาบาลอยู่มาก
ข้อมูลจาก ภญ.รศ.ธิดา นิงสานนท์ ที่ปรึกษาสมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาลฯ และนายกสภาเภสัชกรรม เปิดเผยว่า ปัญหาความไม่ปลอดภัยจากการใช้ยาที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ยาที่ไม่เหมาะสมของตัวผู้ป่วยว่า อาจเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความเข้าใจไม่ถูกต้อง หรือความเชื่อแบบผิด ๆ ของผู้ใช้ยา โดยกล่าวถึง “10 พฤติกรรมการใช้ยาที่ไม่ปลอดภัยที่พบบ่อยในคนไทย” ได้แก่
1.ปรับขนาดยาเองตามใจชอบ ด้วยความเชื่อที่ว่ารับประทานยามากไม่ดี เมื่ออาการดีขึ้นแล้วก็หยุดยาเอง เช่น บางคนความดันเลือดสูง พอรับประทานยาแล้วความดันลดลง ก็งดยาเองไม่ยอมรับประทานต่อตามแพทย์สั่ง ความดันก็จะสูงขึ้นอีกหรือยาบางอย่าง เช่น ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อ ซึ่งต้องรับประทานให้หมดตามแพทย์สั่ง ผู้ป่วยบางคนพอรับประทานไปได้ระยะหนึ่ง อาการหายไปก็หยุดยาเอง ผลคือเกิดเชื้อดื้อยาขึ้น ครั้งต่อไปต้องใช้ยาที่แรงขึ้น เป็นต้น หรือในทางตรงข้ามเชื่อว่ารับประทานยามากแล้วหายเร็ว จึงเพิ่มขนาดยาเอง ผลคือความดันอาจลดลงต่ำจนเกิดอันตรายได้
2.นำยาของคนอื่นมาใช้ ด้วยความเอื้อเฟื้อจากเพื่อนบ้าน หรือคนในบ้านเดียวกัน เมื่อฟังว่ามีอาการเหมือนกัน ก็ขอยาที่เพื่อนใช้มาทดลองใช้บ้าง โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่าอาการที่เหมือนกันนั้นอาจมาจากสาเหตุที่ต่างกัน ซึ่งนอกจากโรคไม่หายแล้วยังเสี่ยงต่อการเกิดการแพ้ยา หรือเกิดอาการข้างเคียงจากยาอีกด้วย
3.ไม่พร้อมฟังคำอธิบายจากเภสัชกร พฤติกรรมนี้พบบ่อยมากเวลาผู้ป่วยมารับยาที่ห้องยาตามสถานพยาบาล ผู้ป่วยมักจะรีบกลับบ้าน ไม่สนใจว่าเภสัชกรจะอธิบายวิธีใช้อย่างไรเพราะเข้าใจว่าอ่านฉลากเองได้ แต่เมื่อกลับไปบ้านแล้วมีข้อสงสัยวิธีการใช้ ก็ไม่ทราบจะถามใคร ซึ่งในบางกรณีแพทย์อาจเปลี่ยนชนิดของยาหรือเปลี่ยนขนาดที่เคยใช้อยู่เดิม ก็อาจไม่ทราบเพราะเคยใช้อยู่อย่างไรก็ใช้ในขนาดเดิมนั้น ไม่ได้อ่านฉลากยาให้ละเอียด หรือบางครั้งรับประทานยาเดิมที่แพทย์สั่งหยุดแล้วควบไปกับยาใหม่อีก ทำให้ได้ยาเกินขนาด หรือบางครั้งยามีอาการข้างเคียงที่เภสัชกรจะบอกให้ทราบล่วงหน้าเพื่อเป็นการสังเกตอาการ หรือไม่ต้องกังวลเมื่อเกิดอาการดังกล่าว แต่ไม่มีโอกาสบอกเพราะผู้ป่วยไม่พร้อมรับฟัง
4.เก็บยาไม่ถูกต้อง เมื่อรับยามาจากสถานพยาบาลหรือซื้อยามาแล้วทิ้งไว้ในรถซึ่งจอดกลางแดด หรือเข้าใจว่ายาทุกชนิดควรเก็บไว้ในตู้เย็น หรือในช่องแข็ง ทำให้ยาเสื่อมก่อนถึงวันหมดอายุ ประสิทธิภาพยาลดลง
5.ไม่ดูวันหมดอายุเวลาซื้อยา ทุกครั้งที่ซื้อยาต้องหาดูวันหมดอายุที่แผงหรือขวดยา หรือหลอดบรรจุยา ให้มั่นใจว่ายาที่ซื้อไปยังไม่ถึงวันหมดอายุ อย่างน้อยที่สุด 6 เดือนถึง 1 ปี
6.ลืมรับประทานยา โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องรับประทานยาจำนวนมากมักลืมรับประทานยามื้อกลางวันบ่อยที่สุด หรือมักลืมรับประทานยาก่อนอาหาร ซึ่งยาบางอย่างจำเป็นต้องรับประทาน ก่อนอาหารครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง เพราะยาจะถูกดูดซึมดีตอนท้องว่าง หรือยาบางชนิดเพื่อให้ออกฤทธิ์พอดีเวลาอาหาร
7.ใช้ยาไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะยาที่มีเทคนิคพิเศษในการใช้ ทำให้ใช้ยาไม่ได้ผล เช่น ยาพ่นป้องกันการจับหืด ซึ่งมีชนิดต่าง ๆ มากมาย เป็นต้น
8.ไม่นำยาเก่ามาด้วยเวลามารักษาตัวในโรงพยาบาล ทำให้บางครั้งไม่ได้รับยาที่รับประทานต่อเนื่องเพื่อรักษาโรคเรื้อรังที่เป็นอยู่เดิม แต่ครั้งนี้มารับการรักษาอาการอื่น แพทย์เองก็ไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไรอยู่ก่อน
9.ชอบไปรับการรักษาจากหลายสถานพยาบาล ทำให้ได้รับยาซ้ำซ้อน บางครั้งยามีปฏิกิริยากัน อาจเสริมฤทธิ์กันหรือทำให้ฤทธิ์ยาลดลง
10.เชื่อว่าการใช้ยาดีกว่าการป้องกันการเกิด โรค คนส่วนใหญ่ชอบที่จะได้รับยาจากแพทย์เพื่อรักษามากกว่าการรับฟังคำแนะนำการดูแลรักษาตัวเพื่อป้องกันการเกิดโรค ซึ่งแท้จริงแล้วการป้องกันการเกิดโรคย่อมดีกว่า หรือถึงแม้รับประทานยาเพื่อรักษาโรคเรื้อรังอยู่แล้วก็ไม่ระวังดูแลตนเอง เพราะ คิดว่าหากมีอาการมากขึ้นก็เพิ่มขนาดยาเข้าไปอีก ลืมคิดไปว่ายามีทั้งคุณและโทษ ไม่ควรใช้ยาโดยไม่จำเป็น หรือหากต้องใช้ยาก็ต้องใช้ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ที่กล่าวมาเป็นเพียงพฤติกรรมส่วนหนึ่งที่พบบ่อยในคนไทย ซึ่งผู้ป่วยและผู้ใช้ยาจะต้องช่วยกันดูแลตนเอง หากไม่เข้าใจหรือมีปัญหาจากการใช้ยา ควรขอคำปรึกษาจากเภสัชกร เพื่อลดปัญหาความไม่ปลอดภัยจากการใช้ยา โดยเฉพาะยาที่มีเทคนิคพิเศษ และยารักษาโรคเรื้อรังที่ผู้ป่วยต้องรับประทานยาหลายชนิด
อีกประเด็นที่อยากจะกล่าวถึงก็คือ ความปลอดภัยจากการใช้ยาของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งมีความสำคัญมากเช่นกัน เพราะหากผู้ป่วยได้รับยาอย่างถูกต้องเหมาะสมกับโรคและอาการผู้ป่วย ก็จะช่วยให้ผลการรักษานั้นมีประสิทธิ ภาพมากยิ่งขึ้น และในทางตรงข้ามหากผู้ป่วยได้รับยาไม่เหมาะสม นอกจากจะทำให้การรักษาไม่ได้ผลแล้ว อาจจะทำให้ผู้ป่วยมีความไม่ปลอดภัยจากการใช้ยาได้เช่นกัน “เภสัชกรโรงพยาบาล” จึงเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญ โดยต้องทำงานร่วมกับแพทย์ พยาบาล และบุคลากรการแพทย์อื่น ๆ
บทบาทหน้าที่ของเภสัชกรโรงพยาบาลในปัจจุบัน ได้เปลี่ยนไปจากเดิมที่ทำหน้าที่เพียงจัดซื้อจัดหายาให้เพียงพอต่อความต้องการและจ่ายยามาเป็นบทบาทในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยแบบสหสาขา โดยดูแลความปลอดภัยด้านยา เช่น ในการบริบาลเภสัชกรรมผู้ป่วยในจะดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
(1) การประสานรายการยาเดิมที่ผู้ป่วยใช้อยู่จะสืบค้นประวัติการใช้ยาเดิม โรคประจำตัว การแพ้ยา
(2) การดูแลรายการยาต่อเนื่องของผู้ป่วย ความเหมาะสมของขนาดยา การแพ้ยา และอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาและ Drug Interaction
(3) การบริหารยาที่เหมาะสม ยาที่ห้ามบด สารน้ำที่เลือกใช้ อัตราเร็วที่ให้โดยเฉพาะ ยาที่มีดัชนีการรักษาแคบหรือยากลุ่มเสี่ยง
(4) การวางแผนจำหน่ายผู้ป่วย และประสาน รายการยา การประเมินความเหมาะสมในการสั่งใช้ยา การให้คำปรึกษาด้านยาก่อนกลับบ้าน
หากย้อนไปเมื่อ 15-30 ปีก่อน บทบาทเภสัชกร มีเพียงงานสั่งซื้อ งานคลัง งานจ่ายยา และงานผลิต แต่ในปัจจุบัน บทบาทหน้าที่ของเภสัชกรได้เปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม จะต้องเข้ามาดูแลระบบความปลอดภัยด้านยาร่วมกับวิชาชีพอื่น เช่น งานบริบาลเภสัชกรรมผู้ป่วยนอก งานบริบาลเภสัชกรรมผู้ป่วยใน ดังนั้นอัตรากำลังในปัจจุบันจึงยังไม่สอดคล้องกับภาระงานและความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น ยิ่งในปัจจุบันโรงพยาบาลมีการพัฒนาเพื่อให้ได้การรับรองมาตรฐานโรงพยาบาล (Hospital Accreditation: HA)-ประกอบกับผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสามารถเข้าถึงบริการได้โดยสะดวก ทั่วถึง และมีความคาดหวังว่าจะได้รับการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าภาระงานในปัจจุบันเพิ่มกว่าในอดีตมาก ทำให้บุคลากรสาธารณสุขเช่นแพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล เภสัชกร มีความเครียดในการทำงานและแบกรับความรับผิดชอบสูงมาก
ดังนั้นสมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาลฯ จึงขอวอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับอัตรากำลังของเภสัชกรโรงพยาบาลให้เหมาะสมกับผู้ใช้บริการด้วย เพราะนั่นหมายถึงประสิทธิภาพการรักษาและความปลอดภัยด้านยาของผู้ป่วย เพราะในปัจจุบันการดูแลรักษาผู้ป่วยทำเป็นแบบสหสาขาวิชาชีพ เภสัชกรทำหน้าที่ ดูแลผู้ป่วยด้านยา เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาที่ถูกต้อง ใช้ยาอย่างถูกวิธี ทำให้การรักษามีประสิทธิผลสูงสุด.
ข้อมูลจาก เภสัชกรวิพิน กาญจนการุณ นายกสมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศ ไทย)
Relate topics
- ใบสำคัญรับเงิน
- ศูนย์เรียนรู้วิถีธรรมชาติ จะนะ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย โดย อ.จินตนา เจริญเนตรกุล ได้จัดอบรมการแปรรูปอาหารทะเล เช่น การทำข้าวเกรียบ
- บรรยากาศการแสดงโขนเฉลิมพระเกียรติ สุดยอดความอลังการ หนึ่งในกิจกรรมงานอาหารของแม่ เพื่อเทิดพระเกียรติแม่ของแผ่นดิน ณ ถนนสเน่หานุสรณ์
- บรรยากาศงานตลาดนัดเกษตรกรโอเดียน ประจำเดือนกรกฎาคม เมื่อวันที่ 4 ก.ค.58 โดยภายในตลาดไดมีคุณวรรณา สุวรรณชาตรี ผู้ประสานงานโครงการประชุมและเยี่ยมชมตลาด
- วันนี้ โครงการอาหารเป็นยา ปีที่ 2 อาหารเป็นยาสมุนไพร: กรณีศึกษาจังหวัดสงขลา (Food as herbal medicine: A case study of Songkhla province)