เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคภาคใต้

คร.จัดประชุม เดินหน้า ซีแอล 2 ยาเอดส์ ต่อ เผยยังมีส่วนคลุมเครือด้านสิทธิรักษาพยาบาลสวัสดิการข้าราชการ ต้องเร่งระบุให้ชัด คาดพร้อมประกาศใช้ใน ส.ค.นี้
      วันนี้ (2 ส.ค.) นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมเพื่อหารือเรื่องการแก้ไขประกาศการใช้สิทธิบัตรด้านยาและเวชภัณฑ์ กรณียาต้านไวรัสเอชไอวี 2 ชนิด คือ 1.ยาต้านไวรัสเอชไอวีสูตรพื้นฐาน ยาเอฟฟาไวเรนซ์ และ 2.ยาต้านไวรัส สูตรผสม โลพินาเวียร์ กับริโทนาเวียร์ ว่า การประชุมครั้งนี้มีตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย เช่น คร.สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) องค์การเภสัชกรรม (อภ.) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และกรมทรัพย์สินทางปัญญา เครือข่ายภาคประชาชนด้วย เป็นต้น โดยวาระที่ประชุมนั้นได้นำมติของ สปสช.ในกรณีที่กล่าวถึงความจำเป็นในการขยายการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรยาโดยรัฐ (ซีแอล) ทั้ง 2 ชนิดเพื่อมาพิจารณาในขั้นของการตรวจสอบความถูกต้องในเรื่องกฎหมายและตรวจสอบความละเอียดในเรื่องของคำจำกัดความในข้อบัญญัติต่างๆ เพิ่มเติมโดยเฉพาะในส่วนของสิทธิรักษาพยาบาลสวัสดิการข้าราชการ ซึ่งยังคลุมเครือในเรื่องที่จากเดิมนั้น สิทธิสวัสดิการดังกล่าวไม่ได้หมายรวมถึงพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) หรือพนักงานองค์กรอิสระ ดังนั้น ในวาระที่ประชุมจึงต้องมีการหารือ เพื่อทำให้มีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้ คาดว่า จะแล้วเสร็จและพร้อมประกาศใช้ภายในเดือน ส.ค.นี้

      “เท่าที่ได้ประชุมหารือกันนั้น นอกเหนือจากการแก้ไขเพิ่มเติมด้านคำจำกัดความแล้ว สำหรับด้านตัวบทกฎหมายต่างๆ ไม่มีปัญหาใดๆและไม่ขัดต่อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งข้อตกลงทรัพย์สินทางปัญญา (ทริปส์) ทั้งประกาศโดฮาว่าด้วยทริปส์และการสาธารณสุข” นพ.สมศักดิ์ กล่าว
      รองอธิบดี คร.กล่าวต่ออีกว่า ได้ดำเนินการแจ้งหนังสือถึงบริษัทยาทั้ง 2 ชนิด คือ บริษัท เมิร์ค ชาร์ป แอนด์ โดห์ม จำกัด (Merck Sharp&Dohm) บริษัท แอ็บบอต ลาบอแรตอรีส์ จำกัด (Abbott Laboratories) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ทั้ง 2 บริษัทก็ไม่มีการตอบรับใดๆ
      ด้านนายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า การขยายซีแอลยาต้านไวรัสทั้ง 2 ชนิดจะส่งผลให้เกิดประโยชน์ ต่อผู้ป่วยเอชไอวี/เอดส์ ที่อยู่ในสิทธิระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศทั้งหมด ซึ่งทุกคนสามารถเข้าถึงบริการดังกล่าวได้อย่างทั่วถึง ทั้งนี้ ยังครอบคลุมผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างรอพิสูจน์สถานะด้วย แต่ไม่หมายรวมถึงผู้ป่วยที่เข้ารับบริการใน โรงพยาบาลของเอกชน