การ re-use หรือของเก่ากลับมาใช้ใหม่นั้น นับเป็นแนวทางที่ดีในการลดขยะ ลดโลกร้อน แต่ของบางอย่างหากใช้จนเก่าแล้วก็ไม่ควรนำกลับมาใช้ไหม่ ตัดใจให้มันไปสู่กระบวนการ recycle จะดีกว่า เพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายได้อย่างมากมาย โดยเฉพาะเจ้ายางรถยนต์วงกลมๆ ทั้ง 4 เส้นที่ช่วยให้เราเดินทางไปได้ทุกที่
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนนมีสาเหตุสำคัญประการหนึ่งมาจากการใช้ยางรถยนต์ที่หมดสภาพแล้ว เพราะยางรถยนต์เป็นส่วนที่ต้องรับภาระหนักที่สุด หากอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์แล้วนั้น อาจหมายถึงชีวิตเลยทีเดียว ดังนั้นจึงควรใส่ใจตรวจสอบสภาพยางเป็นประจำและดูแลรักษาอย่างถูกวิธี เพราะอาจไม่มีโอกาสรีสตาร์ทก็เป็นได้
ยางรถยนต์ แบ่งได้เป็น 3 ประเภท
- ยางใหม่ คือยางรถยนต์ที่ไม่เคยถูกนำมาใช้ หากเก็บไว้ในสภาพที่ดีจะสามารถเก็บได้ประมาณ 5 ปี
- ยางหล่อดอก คือ ยางรถยนต์ที่นำโครงยางที่เก่าจนดอกสึก มาหล่อดอกยางเข้าไปใหม่ บนโครงสร้างยางเก่า
- ยางเปอร์เซ็นต์ คือ ยางที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว แต่ยังอยู่ในสภาพที่สามารถใช้งานได้ดีอยู่ มีราคาถูกกว่ายางใหม่
ยางรถยนต์ที่เก่าจะไม่สามารถรีดน้ำได้ในขณะที่ฝนตก ทำให้รถไม่เกาะถนน และลื่นไถลได้ง่ายขณะที่เบรกลักษณะการสึกของยางที่เป็นอันตราย คือ เมื่อความลึกของดอกยางเหลือไม่ถึง 1.6 มม. หรือเมื่อพบว่ามีรอยสึกเป็นหย่อมๆ ถือว่ายางหมดสภาพ หมดอายุการใช้งาน
อายุการใช้งานของยางโดยเฉลี่ย คือ 3 ปีนับจากวันที่ใช้งาน หรือคิดตามระยะทางคือ 50,000 - 60,000 กม. ในช่วงนี้ผู้ใช้สามารถวางใจในประสิทธิภาพของยางได้เต็มร้อย แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูรักษาและลักษณะการใช้งานของแต่ละคนด้วย ยางหมดอายุได้ในหลายลักษณะหลัก เช่น ดอกยางสึกหมด , เนื้อยางแข็ง,โครงสร้างกระด้าง, แตกปริ, แตกลายงา หรือ แก้มยางบวม แม้เกิดขึ้นเพียงลักษณะเดียวหรือควบคู่กันก็ถือว่าหมดอายุ ไม่จำเป็นต้องดอกหมดแล้วยางถึงจะหมดสภาพเสมอไป เพราะความสึกของดอกยางเกี่ยวข้องกับการรีดน้ำ ฝุ่นและโคลนเป็นหลัก ส่วนประสิทธิภาพการเกาะถนนและการทรงตัว ขึ้นอยู่กับความแข็งของเนื้อยาง และโครงสร้างภายใน
เมื่อยางหมดอายุแล้วควรจะเปลี่ยนยางเส้นใหม่โดยเลือกขนาดยางและและกระทะล้อให้ถูกต้องตามที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดไว้ และที่สำคัญจะต้องทำโดยช่างที่มีความเชี่ยวชาญและได้มาตรฐาน เพราะหากผู้ใส่ยางไม่ชำนาญ อาจทำให้เกิดรอยฉีกขาดเล็กๆ บริเวณขอบยาง ทำให้ลมยางซึมออกมาตลอดเวลา นอกจากนี้หากใส่ยางเข้ากระทะล้อผิดวิธี อาจทำให้ยางระเบิดหรือหลุดจากกระทะล้อ ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุได้ เมื่อเปลี่ยนยางทุกครั้ง ต้องเติมลม ถ่วงล้อ และตั้งศูนย์
รู้รอบเรื่องดูแลยาง
- ลมยางนั้นสำคัญไฉน…ลมยางช่วยลดแรงกระแทกระหว่างรถยนต์และพื้นถนน ควรเติมตามอัตราที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดไว้ ช่วยรักษายางให้ใช้งานได้นาน ดอกยางทุกส่วนสัมผัสพื้นสม่ำเสมอ ขับขี่นุ่มนวล ปลอดภัย และประหยัดค่าน้ำมันด้วย และเติมเท่ากันทุกล้อ เพื่อรักษาสมดุลของล้อ ไม่เสียหลักเมื่อเบรกกะทันหัน
- ลมยางน้อยเกินไป ทำให้แก้มยางบิดตัวมากและร้อนง่าย สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง หรือหากลมยางอ่อนมากๆ จะทำให้โครงสร้างภายในเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และยางจะสึกบริเวณด้านซ้าย-ขวาของหน้ายางมากกว่าตรงกลาง
- ลมยางมากไป เป็นสิ่งที่อันตรายมาก เพราะจะทำให้ยางเกาะถนนน้อยลงจากหน้าสัมผัสที่ลดลง สะเทือนมากกว่าปกติ ยางจะสึกหรอบริเวณแนวกลางมากกว่าริมนอกซ้าย-ขวาและที่สำคัญคือ เสี่ยงต่อการระเบิด
- ฝาวาล์วยาง…ใครคิดว่าไม่สำคัญ หลายคนไม่ใส่ใจฝาวาล์วยาง (จุ๊บลม) ว่ายังอยู่หรือว่าปิดสนิทหรือไม่ซึ่งจุ๊บลมนี้ช่วยป้องกันฝุ่น และความชื้นซึมเข้าในยาง รวมทั้งกันไม่ให้ลมยางซึมออกมา ซึ่งหากปิดไม่สนิท อาจทำให้อายุการใช้งานของยางสั้นลงได้
- สลับยางทุก 10,000 กม. เพื่อให้ยางทั้ง 4 ล้อสึกเท่าๆ กัน
- ถ่วงล้อ…การถ่วงล้อที่สมดุล มีผลเสียต่ออายุการใช้งานของยาง ตลอดจนคุณสมบัติการเกาะถนนระบบช่วงล้อ และโช้คอัพ โดยเฉพาะล้อคู่หน้าที่มีหน้าที่ในการเลี้ยว หากไม่ได้สมดุล จะมีทำให้พวงมาลัยสั่นในบางช่วงความเร็ว ซึ่งควรจะถ่วงล้อทุกครั้งที่เปลี่ยนยางใหม่ สลับยาง และปะยาง
- ตั้งศูนย์ล้อ คือ การทำให้ส่วนประกอบต่างๆ ของระบบบังคับเลี้ยว ระบบช่วงล่างและยางทำงานสัมพันธ์กันถูกต้อง บังคับทิศทางได้ดี หากศูนย์ล้อผิดปดติ จะทำให้ยางสึกเร็วขึ้น รถลื่นไถล และก่อให้เกิดอันตรายได้เนื่องจากบังคับทิศทางรถในมุมที่ผิดปรกติ
- ตรวจเช็คสภาพยางเป็นประจำ เพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานของรถ และเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่
- น้ำยาเคลือบยาง คนรักรถส่วนใหญ่ชอบที่จะใช้น้ำยาเคลือบแก้มยางเพื่อเพิ่มความสวยงามให้กับยางเส้นสวย แต่น้ำยาบางชนิดมีฤทธิ์ต่อเนื้อยาง ทำให้บวมหรือ เปื่อยในระยะยาว ดั้งนั้นจึงควรเลือกสารประเภทซิลิโคนจะปลอดภัยกว่าในกรณีที่ยางระเบิดกะทันหัน ต้องพยายามถือพวงมาลัยไว้ให้มั่นคง และพยายามบังคับรถเข้าข้างทางอย่างปลอดภัย และไม่ควรแตะเบรกอย่างกะทันหัน เพราะจะทำให้รถเสียหลักพลิกคว่ำ ควรเปลี่ยนเป็นเกียร์ตํ่าทันทีเพื่อชะลอความเร็ว
ขับขี่ดีช่วยยืดอายุยาง
- อย่าออกรถและหยุดรถและหักพวงมาลัยอย่างรุนแรง
- อย่าขับรถปีนขอบถนน หรือ เบียดฟุตบาท
- ควรขับหลบหลุม ก้อนหิน หรือสิ่งกีดขวาง
- เติมลมยางให้เหมาะสมตามรกำหนดไว้ตามรุ่นของรถ
- ตรวจสอบลมยางอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
- สลับยางและถ่วงล้อตามระยะเวลาและระยะทางที่กำหนด
สรุปทิ้งท้าย ผู้ใช้รถยนต์ควรดูแลยางอย่างสม่ำเสมอ สลับยางทุกๆ 10,000 กม. และเปลี่ยนยางเส้นใหม่ทุกๆ 3 ปี หรือขับขี่เกิน 50,000 กม. หรือเมื่อดอกยางเหลือน้อยกว่า 1.6 มม. และที่สำคัญต้องตรวจสอบฉลากสินค้าให้ถูกต้องโดยเฉพาะวันผลิต เพื่อการขับขี่บนท้องถนนที่ปลอดภัย
ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
Relate topics
- รณรงค์เลิกใช้โฟม
- รายการสงขลามหาชน ตัวอย่างอาหารของแม่ ตอน " บทบาทของพ่อ " อาหารของแม่ สร้างความอบอุ่นของครอบครัวกับมื้ออร่อยที่แม่บรรจงปรุงเพื่อลูก
- ข่าวดีจะดัง ตอนที่ 265 โรงเรียนสุขภาพดี ของ อบต.ควนรู( http://youtu.be/KsuLA7Fguy8 )
- ข่าวดีจะดัง ตอนที่ 265 โรงเรียนสุขภาพดี ของ อบต.ควนรู(7 เม.ย 5…: http://youtu.be/KsuLA7Fguy8 )
- รายการอาหารของแม่ ตอน " อาหารคือภาคีและพื้นที่ " เปิดอร่อยด้วย ยำบัวบก สูตรสมุนไพรภูมิปัญญาถิ่น อบต.ท่าข้าม ของป้ายุพา ผลชนะ