อึ้ง! วัยรุ่นแห่ใช้เบบี้ออยล์ทาถุงยางแทนสารหล่อลื่น เหตุถุงยางราคาถูก คุณภาพต่ำ ไร้สารหล่อลื่น ชี้ ใช้ผิดวิธีทำถุงยางแตก-ฉีกขาด คุมกำเนิดไม่ได้ผล 7-28% ตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ แนะหากมีเซ็กซ์สม่ำเสมอควรกินยาคุมกำเนิด หรือฉีดยาคุมจะดีกว่า โอกาสพลาดแค่ 1%
ผศ.นพ.มานพชัย ธรรมคันโธ ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา โรงพยาบาลศิริราช กล่าวว่า ได้ทำการวิจัยเรื่องความเสี่ยงการใช้ถุงยาอนามัยในกลุ่มวัยรุ่น ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ จำนวน 1,000 คน ซึ่งได้ทำการประเมินผลเบื้องต้นประมาณ 500 ตัวอย่าง พบว่า วัยรุ่นมีพฤติกรรมไม่นิยมสวมถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์ เพราะมีทัศนคติว่า หากรักจริงไม่จำเป็นต้องใช้ถุงยาง แต่นิยมใช้วิธีการคุมกำเนิดโดยวิธีธรรมชาติที่มีโอกาสเกิดการผิดพลาดสูง เช่น วิธีการนับวันมีประจำเดือนของผู้หญิง ซึ่งวัยรุ่นระดับฮอร์โมนยังไม่คงที่ทำให้คลาดเคลื่อนได้ หรือ ใช้วิธีการหลั่งภายนอก ซึ่งทั้ง 2 วิธี จะต้องได้รับความร่วมมือจากทั้ง 2 ฝ่าย
ผศ.นพ.มานพชัย กล่าวต่อว่า ขณะที่กลุ่มที่ใช้ถุงยางอนามัยก็จะใช้ถุงยางอนามัยไม่ถูกต้อง ซึ่งสาเหตุสำคัญอันดับหนึ่ง คือ การที่กลุ่มวัยรุ่นนิยมนำสารหล่อลื่น เช่น นำเบบี้ออยล์ที่หาได้ง่ายทาที่ถุงยางก่อนสอดใส่อวัยวะ ซึ่งสารเคมีในสารหล่อลื่นดังกล่าวจะไปทำปฏิกิริยาทำให้ถุงแตกหรือฉีกขาดได้ นอกจากนั้น อาจใส่ถุงยางในช่วงเวลาไม่เหมาะสม และหยิกจิกด้วยเล็บ ทำให้ถุงยางรั่ว เป็นต้น ทั้งนี้ สาเหตุที่ใช้เบบี้ออยล์ทาถุงยางเมื่อมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากวัยรุ่นจะใช้ถุงยางอนามัยราคาถูก ซึ่งมีคุณภาพต่ำ ขณะที่ถุงยางที่มีคุณภาพจะมีสารหล่อลื่นที่ปลอดภัยแต่มีราคาแพง ขณะที่ถุงยางที่คุณภาพต่ำจะไม่มีสารหล่อลื่น ทำให้รู้สึกฝืดในการมีเพศสัมพันธ์ จึงไม่เป็นที่นิยมในบรรดากลุ่มวัยรุ่น
ผศ.นพ.มานพชัย กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม การใช้ถุงยาอนามัยเพื่อการคุมกำเนิดในกลุ่มวัยรุ่นนั้น ไม่ได้ผล ซึ่งข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า อุบัติการณ์คุมกำเนิดโดยใช้ถุงยางอนามัยมีโอกาสล้มเหลวสูงถึง 7-28% ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์จำนวนมาก ขณะที่การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบกิน แบบแปะ หรือการฉีด ล้มเหลวน้อยกว่า 1% เท่ากับสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 99% ดังนั้น การคุมกำเนิดด้วยวิธีกินยา หรือแบบฉีดได้ผลดีกว่ากว่าใช้ถุงยางแต่การใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยจะช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
“หากวัยรุ่นมีคู่และเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอทุกอาทิตย์ อาทิตย์ละหลายครั้งก็ควรกินยาเม็ดคุมกำเนิดดีกว่า แต่ไม่แนะนำให้กินยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน ซึ่งสามารถคุมกำเนิดได้ผลแค่ 75%และมีผลข้างเคียง เช่น มีเลือดออกมากผิดปกติ และอาจได้รับอันตรายจากผลข้างเคียงอื่นๆ หากใช้ติดต่อกันมากกว่า 2 ครั้งต่อเดือน ซึ่งเป็นผลเสียมากกว่าผลดี” ผศ.นพ.มานพชัย กล่าว
Relate topics
- ใบสำคัญรับเงิน
- ศูนย์เรียนรู้วิถีธรรมชาติ จะนะ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย โดย อ.จินตนา เจริญเนตรกุล ได้จัดอบรมการแปรรูปอาหารทะเล เช่น การทำข้าวเกรียบ
- บรรยากาศการแสดงโขนเฉลิมพระเกียรติ สุดยอดความอลังการ หนึ่งในกิจกรรมงานอาหารของแม่ เพื่อเทิดพระเกียรติแม่ของแผ่นดิน ณ ถนนสเน่หานุสรณ์
- บรรยากาศงานตลาดนัดเกษตรกรโอเดียน ประจำเดือนกรกฎาคม เมื่อวันที่ 4 ก.ค.58 โดยภายในตลาดไดมีคุณวรรณา สุวรรณชาตรี ผู้ประสานงานโครงการประชุมและเยี่ยมชมตลาด
- วันนี้ โครงการอาหารเป็นยา ปีที่ 2 อาหารเป็นยาสมุนไพร: กรณีศึกษาจังหวัดสงขลา (Food as herbal medicine: A case study of Songkhla province)