เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคภาคใต้

ผมเองทำงานเกี่ยวกับผู้บริโภคมาไม่นานนัก ก็พบว่ามีเล่ห์กลหลากหลายรูปแบบที่ผู้ประกอบการแสนเจ้าเล่ห์ หลอกขายของแก่ผู้บริโภค ตั้งแต่เข็มขัดพลังแม่เหล็ก เตียงแม่เหล็ก จนกระทั่งมาถึง หินควันตั้ม ที่มีผู้บริโภคหลายรายโทรศัพท์มาสอบถามว่า ควรจะซื้อหรือไม่ มองอีกแง่มุมของปัญหาก็ถือว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่เริ่มสังสัยในการอวดอ้างสรรพคุณว่าจะมีข้อเท็จจริงประการใด รู้จักตั้งคำถามและหาคำตอบว่ามันควรค่าแก่การซื้อหรือไม่

ควันตั้ม มีหลากหลายรูปแบบ เช่น สายคาดข้อมือควันตั้ม เหรียญห้อยคอ นาฬิกาหินตั้ม เป็นต้น แต่ที่สำคัญ ราคาแสนจะแพงครับ บอกกล่าวสรรพคุณที่สลับซับซ้อน เช่น ได้มาจากหินภูเขาไฟลาวา มีพลังพิเศษครับ เช่น รักษาโรคอัมพาต อัมพฤกต มะเร็ง เป็นต้น

กับกรณี หินควันตั้ม สะท้อนอะไรกับสังคมไทย บ้าง ผมก็เรียนว่า สิ่งสำคัญคือ ผู้คนส่วนใหญ่ขาดสุขภาวะทางปัญญา นั่น คือ ในเมื่อไม่มีทางออกแล้ว อะไรก็ได้ที่เห็นว่า หรือเขาว่ามันดีของคว้าไว้ก่อน เป็นเบาหวานปวดเมื่อยมานาน หมอก็รักษาไม่เห็นหาย จึงไม่แปลกอะไรที่จะหลงเชื่อซื้อมาใช้ ปรากฎการณ์ หินควันต้ม คงไม่แตกต่างจาก จตุคามรามเทพ ที่เคยฮิตมาสักระยะหนึ่งแล้ว

มันเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดแบบหนึ่งในการขายของ วิธีการ คือ

1. ต้องเลือกกลุ่มคนที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น ผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรัง เป็นกลุ่มที่มักเป็นเป้าหมายของการหลอกหลวง ท่านเหล่านี้มักจะขาดทางออกในการรักษา รักษามาหลายครั้งแล้วก็กลับไปเหมือนเดิม

2. การขายมักจะทำเป็นทีม มีทั้งหน้าม้า และไม่ม้า แสดงในรูปสื่อวิดีโอ หรือแบบพูดบรรยายด้นสด คล้ายกับ เมียงู หรือ อับดุล เห็นอะไรก็รู้ตอบได้ก็ตอบ แสดงให้เห็นพลังอันลึกลับ เช่น เมื่อก่อนแขนไม่มีแรงแต่พอกำหินควันตั้มไว้ในมือก็สามารถมีแรงงัดข้อ ชนะคนที่กล้ามใหญ่ ๆ ได้เลย อันนี้เป็นหลักจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่มักจะสร้างความฮึกเหิมในใจแก่ผู้ใช้

3. มักโฆษณาด้วยวิธีการขายตรง จัดการขายตรงในโรงแรม เชิญเหยื่อเป้าหมายมาร่วมฟังบรรยายสรรพคุณแล้ว หลอกให้ซื้อหิน นอกจากนี้มีการโฆษณาผ่านทางเคเบิลทีวี ซึ่งยากแก่การตรวจสอบ