เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคภาคใต้

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2552 ที่สำนักงานอัยการจังหวัดสงขลาสำนักงานคุ้มครองและช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย (สนช.) สำนักงานอัยการจังหวัดสงขลา ได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องกับกรณีอุบัติเหตุยางรถโดยสารบริษัท โพธิ์ทองขนส่ง (2505) จำกัด ระเบิด ตัวถังทะลุเป็นเหตุให้ 2 นักศึกษาหล่นลงมาเสียชีวิต 2 ศพ ประกอบด้วย นายพิพัทธิ์ เลขะกุล ผู้จัดการ บริษัทโพธิ์ทอง (2505) จำกัด  นายพงศักดิ์ กาฬวัจนะ ตัวแทนบริษัทวิริยะประกันภัย จำกัด นายบุญช่วย ยิ่งนัสเกียรติ เจ้าของรถร่วมโพธิ์ทอง นายเคลิบ ลำนวล คนขับรถ น.ส.ศิริโฉม สุไมรยา นายประเสริฐ หมิดปนทนายความ ส่วน ด.ต.สิวัฎ เพ็ชรสง ได้ส่งทนายความเป็นตัวแทน ร่วมเจรจาไกล่เกลี่ยเรื่องค่าชดเชย  มีนาย พรพิชัย ไชยมาตร อัยการจังหวัดประจำกรม เป็นคนกลาง โดยทางฝ่ายผู้เสียหายเรียกเงินค่าชดเชยรายละ 1,500,000 บาท รวมเป็นเงิน 3,000,000 บาท

    ทางด้านนายพิพัทธิ์และนายบุญช่วย ไม่สามารถรับข้อเสนอนี้ได้ น.ส.สิริโฉมกับทนายความของด.ต.สิวัฎได้หารือตกลงลดเงินค่าชดเชยจาก 1,500,000 บาท เหลือรายละ 1,000,000 บาท แต่ทางนายพิพัทธิ์กับนายบุญช่วย ก็ยังไม่รับข้อเสนอ พร้อมกับแจ้งว่าจ่ายได้เพียง 500,000 บาท แยกเป็น บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด จ่ายค่าประกันเป็นเงิน 400,000บาท บริษัทโพธิ์ทองขนส่ง (2505) จำกัด จ่าย 50,000 บาท นายบุญช่วย ยิ่งนัสเกียรติ เจ้าของรถร่วมจ่าย 40,000 บาท และนายเคลิบ  ลำนวลพนักงานขับรถจ่าย 10,000 บาท รวมเป็นเงิน 500,000 บาท จึงไม่สามารถตกลงกันได้

    น.ส.สิริโฉม เปิดเผยว่า ตนกับด.ต.สิวัฏ จะฟ้องเรียกค่าเสียหายในคดีผู้บริโภค ตามพระราชบัญญัติวิธีคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 โดยจะยื่นฟ้องในเร็วๆ นี้
    ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2552 ด.ต.สิวัฎได้ยื่นเอกสารต่อบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด เพื่อรับเงินค่าสินไหมทดแทนในส่วนของประกันภัยจำนวน 400,000 บาท โดยบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด ได้นัดจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2552 นี้

    นายนวพล บุญญามณี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา กล่าวว่า สำหรับการช่วยเหลือ น.ส.สิริโฉมที่จะขอย้ายกลับมาทำงานในสังกัดองค์กรปกครองท้องถิ่นจังหวัดสงขลา เพื่อดูแลครอบครัว ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา สามารถให้ความช่วยเหลือได้ แต่ต้องดูก่อนว่ามีตำแหน่งว่างหรือไม่ น.ส.สิริโฉมต้องมาติดต่อกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา จะได้ดูขอบเขตของตำแหน่งว่า จะสามารถรับทำงานได้หรือไม่ จากนั้นจะดำเนินการไปตามขั้นตอนระเบียบราชการ ถ้าหากลำบากจริงๆ ตนพร้อมจะให้ความช่วยเหลือ แต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์