เหตุการณ์ดังนี้
เมื่อวันที่ 4 กันนายน 54 ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าพร้อมทีมงานมีความประสงค์เดินทางไปทำงานที่สามจังหวัดชายแดน ภาคใต้ และได้ติดต่อเช่ารถ จาก หจก. หาดใหญ่รถเช่า จำนวน 4-5 วัน ในการพูกคุยในโทรศัพท์ โดยมีค่าโอนเงินค่ามัดจำรถเป็นจำนวน 2,000 บาท โดยวิธีการโอน และเมื่อวันที่ 6 กันนายน 2554 ข้าพเจ้าพร้อมทีมงานได้ถึง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เจ้าหน้าทางรถเช่า ก็มารับข้าพเจ้าที่ ทางรถ บขส. เพื่อไปทำสัญญาเช่ารถกัน ข้าพเจ้าได้ลงลายมือในสัญญารถเช่า จำนวน 5 วัน ซึ่งได้ชำระค่าประกันรถยนต์ เป็นจำนวนงนเงิน 5,000 บาท ค่าเช่ารถ วันละ 1,200 บาท จำนวน 5 วัน เป็นจำนวนเงิน 6,000 บาท รวมทั้งสิ้น 11,000 บาท หักยอดที่โอนมาล่วงหน้า 2,000 บาท จึงได้ชำระเป็นเงินสดเป็นจำนวนเงิน 9,000 บาทถ้วน และได้คุยกับเจ้าหน้าที่ว่าถ้าเสร็จงานก่อน สามารถนำรถมาคืนก่อนพี่จะคืนเงินประกันค่าเช่ารายวันให้ได้ไหม พี่เค้าบอกว่าคุยกันได้ เราเองก็สบายใจเพราะว่าเราก็เคยใช้บริการพี่เค้ามาแล้ว 1 ครั้ง
เหตุการณ์เกิดเมื่อวันที่ 9 กันยายน 54 เวลาประมาณ 16.00 น. ข้าพเจ้า ได้โทรมาแจ้งความจำนงในการคืนรถเช่าก่อนกำหนด เพราะว่างานเสร็จแล้ว จึงโทรแจ้งให้เจ้ารถเช่ามารับคืน และข้าพเจ้าก็ได้รับเงินค่าประกันภัยรถยนต์คืน เป็นำจำนวนเงินคืน 5,000 บาท และคิดว่าจะได้รับเงินค่าเช่ารายวันอีก 1 วัน ที่ได้ส่งคืนรถก่อนกำหนด เป็นจำนวนเงิน 1,200 บาท ปรากฏว่าเจ้าที่ หจก.หาดรถเช่า มิได้ได้คืนเงินค่าเช่ารายวัน อีก 1 วัน เป็นจำนวนเงิน 1,200 บาท ตามหนังสือสัญญาเช่ารถ “ข้อ 8 หากผู้เช่า ตกลงทำสัญญา เช่ากัน ตามจำนวนวัน/เวลา ที่ตกลงข้างต้น แต่นำรถที่เช่าไปมาคืนก่อนกำหนดให้ถือว่าสิ้นสุดการเช่า และทางบริษัท จะไม่คืนเงินส่วนที่เหลือกลับคืนให้ “ ข้าพเจ้าได้ทักทวงและได้ทำการโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเพื่อประนีประนอมกับทางฝ่ายเจ้าของรถเช่า ซึ่งปรากฏว่า ไม่สามารถคุยกันได้ และได้ไล่ให้ข้าพเจ้ามาแจ้งความไว้ ดังเอกสารสถานีตำรวจหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดย รตอ.ปาณชัย ปรีชา พนส.ได้รับแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน
ข้อเสนอแนะ อยากให้ทางรายการช่วยดำเนินการสอบถามให้ด้วยคับ ว่าเหตุการณ์ในลักษณะแบบนี้ ประชาชนเราจะมีวิธีการรับมือกับสัญญาเช่ารถ ที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้เช่าได้อย่างไร
ขอแสดงความนับถือ