ศาลแพ่งธนบุรีพิพากษาสั่ง โตโยต้าฯ เปลี่ยนรถอินโนว่าคันใหม่ให้ผู้บริโภคคิดเป็นมูลค่าความเสียหายเป็นเงิน 759,850 บาท หลังฟ้องศาลผู้บริโภค 1 ปี
วันนี้ (25 พ.ค.) เวลา 13.30 น. ศาลแพ่งธนบุรีออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีผู้บริโภค ที่ นางสุภาภรณ์ ว่องวีรวัฒนกุล ที่ 1 กับพวกรวม 4 คน ในฐานะผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายจากการใช้สินค้าและบริการ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท โตโยต้า ธนบุรี จำกัด ที่ 1 , บริษัท โตโยต้า ทีบีเอ็น จำกัด ที่ 2 และ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศ ไทย จำกัด ที่ 3 ในฐานะผู้ประกอบธุรกิจเป็นจำเลย เป็นคดีผู้บริโภค เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2553 เรียกค่าเสียหาย 5 ล้านบาท
จากกรณี ซื้อรถยนต์โตโยต้า รุ่นอินโนว่า รุ่นInnova เลขทะเบียน ศณ 6774 เมื่อปี 2548 เกิดปัญหาอากาศเสีย หรือควันรถยนต์ไหลย้อนกลับเข้าไปในห้องโดยสารรถ และนักวิชาการด้าน วิศวกรรมคุ้มครองผู้บริโภค ได้ตรวจพบมีกาซคาร์บอนมอนนอกไซด์ในห้องโดยสารสูงถึง 16 ppm
ศาลแพ่งธนบุรี พิเคราะห์พยานหลักฐานการนำสืบของโจทก์และจำเลยแล้ว เห็นว่า จำเลยไม่สามารถพิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงและสาเหตุของปัญหาไอเสียเครื่องยนต์ที่รั่วเข้ามาในห้องโดยสารได้ตามคำให้การของจำเลยที่ให้การทำนองว่า เหตุของไอเสียเกิดจากสภาพการใช้งานของโจทก์ไม่ได้เกิดจากปัญหาการผลิต ทำให้เชื่อได้ว่า รถยนต์คันพิพาทมีความชำรุดบกพร่องมาตั้งแต่จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ให้แก่โจทก์ และไม่ได้เกิดจากการใช้งานของโจทก์แต่อย่างใด ดังนั้นจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จำหน่าย และ จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ผลิต นำเข้า จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ในความชำรุดบกพร่องของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน
พิพากษาให้ จำเลยที่ 1 คือบริษัท โตโยต้า ธนบุรี และ 3 คือบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศ ไทย เปลี่ยนรถยนต์คันใหม่ รุ่นเดียวกับสุภาภรณ์ หรือไม่ก็ซื้อรถยนต์คันที่มีปัญหาคืน ในราคา 759,850 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตรา 7.5 ต่อปี และให้บริษัทโตโยต้า จ่ายค่าเสียหายอีก 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตรา 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2552
“รู้สึกพอใจกับคำพิพากษามากและรู้ว่าความยุติธรรมมีอยู่จริง ซึ่งกฎหมายผู้บริโภคเอื้อประโยชน์ให้กับผู้บริโภคให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ จึงอยากฝากบอกกับผู้บริโภคที่มีปัญหาว่าให้ลุกขึ้นมาต่อสู้ตามกระบวนการทางกฎหมายเหมือนดิฉัน” นางสุภาภรณ์กล่าว
คำฟ้องคดีตัวอย่าง เรียกค่าเสียหายจากโตโยต้า5ล้าน ไอเสียเข้าในรถ"อินโนวา"อ้างกระทบสุขภาพร้ายแรง
เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน นางสุภาภรณ์ ว่องวีรวัฒนกุล กับบุตร 3 คนเป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท โตโยต้า มอเตอร์(ประเทศไทย)จำกัดและพวกต่อศาลแพ่งธนบุรีเรียกค่าเสียหายเป็นเงินเกือบ 5 ล้านบาทจาก กรณีโจทก์ซื้อรถยนต์โตโยต้า รุ่นอินโนว่า แต่ปรากฏว่า มีไอเสียจากเครื่องยนต์รั่วเข้ามาในห้องโดยสารทำใหมีผลกระทบต่อสุขภาพของ โจทก์อย่างร้ายแรง
ทั้งนี้คำบรรยายฟ้องของโจทก์สรุปว่า เมื่อประมาณเดือนธันวาคม พ.ศ.2547 โจทก์ที่ไปเที่ยวงานมหกรรมรถยนต์ที่ศูนย์แสดงสินค้าเมืองทองธานี ได้รับการเสนอหรือชักชวนจากพนักงานขายของจำเลยที่ 1 ให้ซื้อรถยนต์โตโยต้า รุ่นอินโนว่า ใช้เชื้อเพลิงน้ำมันดีเซล จึงได้ซื้อไว้และชำระเงินตามสัญญาเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว และได้รับโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์คันดังกล่าวมาเรียบร้อยแล้ว
ภายหลังจากโจทก์ได้รับรถยนต์คันดังกล่าวก็ได้ใช้งานตามปกติวิสัยรวม ทั้งรับส่งบุตรทั้งสามไป-กลับโรงเรียนเช้า-เย็นตั้งแต่จันทร์-ศุกร์ โดยโจทก์ทั้งสี่อยู่ในรถยนต์คันดังกล่าววันละประมาณ 5-6 ชั่วโมง
หลังจากไม่นาน โจทก์รู้สึกว่า มีกลิ่นคล้ายกลิ่นจากท่อไอเสียเข้ามาในห้องโดยสาร จึงได้แจ้งกับพนักงานขายของจำเลยที่ 1 ซึ่งแจ้งว่าเป็นเรื่องปกติของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล โจทก์ไม่เคยใช้รถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ดีเซลจึงไม่ทราบมาก่อนว่าเป็นเรื่อง ปกติหรือไม่
ต่อมาเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2549 โจทก์ใช้รถยนต์คันดังกล่าวครบระยะ 50,000 กิโลเมตร จึงได้นำรถยนต์คันดังกล่าวเข้าตรวจเช็คกับศูนย์บริการซ่อมรถยนต์ของจำเลย โจทก์แจ้งกับพนักงานของจำเลยว่า มีกลิ่นควันคล้ายกลิ่นท่อไอเสียเข้ามาในห้องโดยสาร พนักงานของจำเลยแจ้งว่า เป็นเรื่องปกติของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลและให้โจทก์ ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ
แต่กลิ่นดังกล่าวก็ยังไม่หายไป และเริ่มมีคราบเขม่าเข้ามาในห้องโดยสาร ดังนั้น เมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2550 โจทก์จึงนำรถยนต์คันดังกล่าวเข้าตรวจเช็คกับศูนย์ฯ ของจำเลยโดยจำเลยแจ้งให้เจ้าหน้าที่เท็คนิคของบริษัทโตโยต้าฯ มาตรวจสอบโดยให้โจทก์ ทิ้งรถยนต์คันดังกล่าวไว้เป็นเวลา 5 วัน เมื่อครบกำหนดโจทก์มารับรถ พนักงานของจำเลยได้แก้ไขให้โดยเปลี่ยนช่องลมบังโคลน ซ้าย - ขวา และแจ้งแก่โจทก์ที่ว่า สามารถนำรถไปใช้ได้อย่างสบายใจ
แต่กลิ่นและคราบเขม่าดังกล่าวก็ยังไม่หายไป ดังนั้น เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ2550 โจทก์จึงนำรถยนต์คันดังกล่าวเข้าตรวจเช็คกับศูนย์ฯ ของจำเลย อีกครั้งหนึ่ง ภายหลังตรวจเช็คแล้ว ผู้จัดการศูนย์ฯ ของจำเลยแจ้งโจทก์ว่า ไม่เป็นไร เป็นธรรมดาของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล
โจทก์เชื่อตามที่ผู้จัดการศูนย์ฯ ของจำเลย บอกว่า กลิ่นควันคล้ายท่อไอเสียดังกล่าวเป็นธรรมดาของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล จึงใช้รถยนต์คันดังกล่าวเรื่อยมา ต่อมาเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ.2551 โจทก์รู้สึกว่าแอร์ฯ ไม่เย็น ไม่มีลม จึงนำรถยนต์คันดังกล่าวเข้าเช็คที่ศูนย์ของจำเลย ทางศูนย์ฯ ของจำเลยอ้างว่า ตู้แอร์ตันไม่สามารถล้างได้จึงได้ทำการเปลี่ยนตู้แอร์ให้ เมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ2551
ในวันที่ 5 กันยายน พ.ศ.2551 โจทก์นำรถยนต์คันดังกล่าวเข้าเช็คระยะ 100,000 กิโลเมตร ทางพนักงานของจำเลยแจ้งโจทก์ว่าไส้กรองเครื่องฟอกอากาศอุดตัน จำเลยจึงได้เปลี่ยนไส้กรองให้เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2551
แต่กลิ่นและคราบเขม่า ก็ยังไม่หายไป และโจทก์ได้แจ้งพนักงานจำเลยทราบ พนักงานจำเลยจึงได้ทำการล้างแอร์โฟว์ให้ แต่กลิ่นและคราบเขม่าก็ยังไม่หายไป
ต่อมาในวันที่ 7 กันยายน พ.ศ.2552 เริ่มมีคราบเขม่าสีดำเข้ามาในห้องโดยสารเป็นจำนวนมาก โจทก์จึงเข้าตรวจสอบที่ศูนย์ฯของจำเลยพบว่า มีคราบเขม่าสีดำเข้ามาในห้องโดยสารจำนวนมากจริง จึงได้ถ่ายรูปแล้วแล้วส่งเรื่องไปยังบริษัทโตโยต้า(จำเลยที่ 3)แต่ปกปิดสาเหตุไม่แจ้งให้โจทก์ทราบถึงสาเหตุว่า เกิดขึ้นเพราะอะไร
ต่อมาวันที่ 9 กันยายน พ.ศ.2552 ทางบริษัทโตโยต้าฯด้นัดให้โจทก์มาเจรจาและขอให้โจทก์นั่งรถยนต์คันดังกล่าว เพื่อไปตรวจสอบค่ามลพิษในห้องโดยสารแต่โจทก์ป่วย จึงไม่สะดวกที่จะนั่งรถไปด้วย จึงขอให้รองผู้จัดการศูนย์ของจำเลยนั่งไปด้วย แต่เจ้าหน้าที่เทคนิคจากบริษัทโตโยต้า ไม่ไปตรวจสอบกับรองผู้จัดการศูนย์ฯ ของจำเลย โดยโดยเจ้าหน้าที่เทคนิคของบริษัทโตโยต้า ยืนยันจะให้โจทก์ทิ้งรถยนต์คันดังกล่าวไว้ 3-5 วัน โจทก์จึงไม่ตกลง
บริษทโตโยต้า จึงได้มีหนังสือฉบับลงวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2552 แจ้งมายังโจทก์มีใจความทำนองว่า หากโจทก์ประสงค์จะให้บริษัทตรวจสอบรถยนต์คันดังกล่าวให้นัดหมายมา
ต่อมาวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2552 จึงได้มีการนัดตรวจรถยนต์คันดังกล่าว โดยฝ่ายจำเลยทั้งสามส่งเจ้าหน้าที่มา 4 คน ฝ่ายโจทก์มีตัวโจทก์และเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค 4 คน และอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเก้าธนบุรี 2 คน โดยทำการตรวจวัดประมาณ 1 ชั่วโมง โดยขับรถยนต์รอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยตรวจสอบรถยนต์ 2 คันเปรียบเทียบพร้อมๆ กันคือรถยนต์คันดังกล่าว กับ รถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า ผลปรากฏว่า พบค่าก๊าซคาบอนมอนอกไซค์ในห้องโดยสารรถยนต์คันดังกล่าวสูงถึง 16 พีพีเอ็ม ส่วนรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้าตรวจไม่พบก๊าซดังกล่าว
โจทก์ จึงเพิ่งทราบว่า รถยนต์คันดังกล่าวมีก๊าซอันตรายและเขม่าจากไอท่อไอเสียเข้ามาในห้องโดยสาร ขณะขับขี่รถยนต์คันดังกล่าว และเป็นอันตรายต่อสุขภาพของโจทก์ทั้งสี่ โจทก์ จึงหยุดใช้รถยนต์คันดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2552
ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซค์(Carbon monoxide : CO) เป็นก๊าซที่ไม่มีสี รส และกลิ่น เบากว่า อากาศทั่วไปเล็กน้อย เมื่อหายใจเข้าไป ก๊าซนี้จะรวมตัวกับฮีโมโกลบิน(Haemoglobin)ในเม็ดเลือดแดงได้มากกว่า ออกซิเจน 200-250 เท่า เกิดเป็นคาร์บอกซีซีฮีโมโกลบิน(Carboxyhaemoglobin : CoHb) ซึ่งลดความสามารถของเลือดในการเป็นตัวนำออกซิเจนจากปอดไปยังเนื้อเหยื่อ ต่างๆ โดยทั่วไป องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิด CoHb ในเลือดมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของก๊าซ คาร์บอนมอนอกไซด์ในอากาศ ที่สูดหายใจเข้าไปและระยะเวลาที่อยู่ในสภาวะนั้นสำหรับอาการตอบสนองของ มนุษย์ขึ้นอยู่กับเปอร์เซ็นต์ CoHb และความรู้สึกของแต่ละบุคคลที่ไวต่อก๊าซชนิดนี้
นอกจากนั้นควันดำ เป็นผงเขม่าขนาดเล็กที่เหลือจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงจากรถยนต์ดีเซล เช่น รถปิกอัพดีเซล รถเมล์โดยสาร และรถขนาดใหญ่ทั่วๆ ไป อันตรายจากควันดำ เนื่องจากควันดำเป็นผงเขม่าขนาดเล็กที่สามารถเข้าไปสะสมที่ถุงลมในปอด และควันดำยงประกอบไปด้วยสารที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งปอด นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดความสกปรก และบดบังการมองเห็นก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางจราจรได้ง่าย
ด้วยเหตุที่รถยนต์คันดังกล่าวมีความชำรุดบกพร่องเป็นเหตุให้มีก๊าซ พิษและเขม่าเข้ามาในห้องโดยสารได้ ดังนั้น ตั้งแต่โจทก์ทั้งสี่ใช้รถยนต์คันดังกล่าวก็เกิดอาการผิดปกติของร่างกายคือ ในเรื่องระบบทางเดินหายใจ มีภาวะการหายใจลำบาก เยื่อบุโพรงจมูกอักเสบบ่อยครั้ง มึนศีรษะ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่น มีอาการคล้ายจะเป็นลม แสบตา คันจมูก มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ โดยหาสาเหตุไม่ได้ โดยเฉพาะโจทก์ที่ 1 ได้เคยไปพบแพทย์บ่อยครั้ง โดยไปพบแพทย์เฉพาะทาง โรคปอด จักษุแพทย์ แพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจ แพทย์เหล่านั้นก็รักษาไปตามอาการโดยไม่ทราบสาเหตุ เช่น คันตา แสบตาแพทย์ก็ให้ยาแก้แพ้มาหยอดตา หัวใจเต้นผิดจังหวะก็ให้ยามารักษาอาการหัวใจเต้นผิดปกติ ฯลฯ
การกระทำของจำเลยที่ประมาทเลินเล่อไม่ตรวจสอบสินค้าให้ดีว่ามีคุณภาพ ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใด แต่กลับนำผลิตภัณฑ์ที่ชำรุดบกพร่องมาจำหน่ายก่อให้ความเสียหายแก่โจทก์ทั้ง สี่ ส่วนจำเลยที่ 2 ทราบว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวชำรุดบกพร่องเป็นอันตรายต่อสุขภาพของโจทก์ทั้งสี่ แต่กลับปิดบังความจริงอันควรจะแจ้งให้โจทก์ทั้งสี่ทราบจึงต้องร่วมรับผิด ด้วย ในความเสียหาย ดังนี้
ค่าเสื่อมสุขภาพอนามัยและทนทุกข์ทรมานจากการใช้รถยนต์คันดังกล่าวเป็นเวลากว่า 5 ปี เศษ โดยที่ โจทก์ที่ 1 ปัจจุบันอายุ46 ปี จบการศึกษาพยาบาลศาสตร์ เคยเป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ต่อมาลาออกมาเพื่อสมรส และเป็นแม่บ้าน มีรายได้จากสามีเดือนละ 150,000 บาท โจทก์ที่ 2 มีอายุ 21 ปี ปัจจุบันศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิยาลัย โจทก์ที่ 3 ปัจจุบันอายุ 18 ปี ปัจจุบันศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 2 คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต โจทก์ที่ 4 ปัจจุบันอายุ 13 ปี ปัจจุบันอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โจทก์ทั้งสี่ขอคิดค่าเสื่อมสุขภาพอนามัยและทนทุกข์ทรมานจากการใช้รถ ยนต์คันดังกล่าววันละ 1,500 บาทต่อคน เป็นเวลากว่า 5 ปีเศษ แต่โจทก์ทั้งสี่ขอคิดเพียง 1 ปีก่อนฟ้อง คิดเป็นค่าเสียหายคนละ 547,500 บาท รวมค่าเสียในส่วนนี้ของโจทก์ทั้งสี่เป็นเงิน 2,190,000 บาท
ค่าขาดประโยชน์ใช้สอยในรถยนต์คันดังกล่าว เนื่องจากการใช้รถยนต์คันดังกล่าวก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพโจทก์ทั้งสี่ โจทก์ที่ 1 จึงหยุดใช้รถยนต์คันดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2552 และขึ้นรถยนต์แท็กซี่แทนเสียค่าใช้จ่ายวันละ1,500 บาท คิดถึงวันฟ้องเป็นเวลา 253 วัน เป็นเงิน 379,500 บาท และเนื่องจากความชำรุดบกพร่องของรถยนต์คันดังกล่าวมีอยู่ในขณะส่งมอบสินค้า นั้นและไม่อาจแก้ไขให้กลับคืนสภาพที่ใช้งานได้ปกติหรือถึงแม้แก้ไขแล้วหากนำ ไปบริโภคอาจเกิดอันตรายแก่ร่างกายหรืออนามัยของโจทก์ทั้งสี่ที่ใช้สินค้า นั้น โจทก์ที่ ๑ จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันเปลี่ยนรถยนต์รุ่นเดียวกันให้ใหม่ และให้ใช้ค่าขาดประโยชน์ใช้สอยวันละ ๑,๕๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่ให้แก่โจทก์ที่ 1
และหากจำเลยทั้งสามไม่สามารถหารถยนต์รุ่นดังกล่าวมาเปลี่ยนให้แก่ โจทก์ที่ได้ ก็ให้รับรถยนต์คันดังกล่าวไปแล้วใช้ราคาแทน โดยโจทก์ที่ 1 ซื้อรถยนต์มาในราคา 1,169,000 บาทหักค่าเสื่อมราคาปีละ 7 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลา5 ปี คงเหลือเงิน 759,850 บาท
ค่าขาดโอกาสที่จะมีอายุยืนยาวและจะได้รับความสนุกสนานในชีวิต เนื่องควันและเขม่ามีสาร polycyclicaeromatichydrocarbon อันเป็นสารก่อมะเร็งมายาวนานถึง 5 ปีเศษ มีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งและเสียชีวิตก่อนวัยอันสมควร โจทก์ทั้งสี่ขอคิดค่าเสียหายในส่วนนี้เท่ากับค่าเบี้ยประกันภัยสุขภาพโรค มะเร็ง คนละ 5,000 บาท ต่อปี เป็นเวลา20 ปี คิดเป็นค่าเสียหายคนละ 100,000 บาท รวมเป็นเงิน 400,000 บาท
ค่าเสียหายในความวิตกกังวล ทนทุกข์ทรมาน ว่าจะเป็นมะเร็งหรือไม่ คนละ 500,000 บาท เป็นเงิน 2,000,000 บาท
รวมเป็นเงินที่จะต้องชำระให้กับโจทก์ที่1 เป็นเงิน 1,527,000 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 1,147,500 บาท โจทก์ที่ ๓ เป็นเงิน 1,147,500 บาท โจทก์ที่4 เป็นเงิน 1,147,500 บาท รวม 4,969,500 บาท
Relate topics
- ใบสำคัญรับเงิน
- ศูนย์เรียนรู้วิถีธรรมชาติ จะนะ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย โดย อ.จินตนา เจริญเนตรกุล ได้จัดอบรมการแปรรูปอาหารทะเล เช่น การทำข้าวเกรียบ
- บรรยากาศการแสดงโขนเฉลิมพระเกียรติ สุดยอดความอลังการ หนึ่งในกิจกรรมงานอาหารของแม่ เพื่อเทิดพระเกียรติแม่ของแผ่นดิน ณ ถนนสเน่หานุสรณ์
- บรรยากาศงานตลาดนัดเกษตรกรโอเดียน ประจำเดือนกรกฎาคม เมื่อวันที่ 4 ก.ค.58 โดยภายในตลาดไดมีคุณวรรณา สุวรรณชาตรี ผู้ประสานงานโครงการประชุมและเยี่ยมชมตลาด
- วันนี้ โครงการอาหารเป็นยา ปีที่ 2 อาหารเป็นยาสมุนไพร: กรณีศึกษาจังหวัดสงขลา (Food as herbal medicine: A case study of Songkhla province)