การขยายสวัสดิการประกันสังคมไปสู่แรงงานนอกระบบต้องมีชุดสิทธิประโยชน์ที่แรงงานอยากได้ จึงจะจูงใจและพร้อมจ่าย
ผลการสำรวจของ ทีดีอาร์ไอ พบแรงงานนอกระบบต้องการเงินชดเชยยามเจ็บป่วยและบำนาญ คนส่วนใหญ่ยินดีจ่ายเงินสมทบเดือนละ 50-100 บาท
นอกจากนี้ ผลวิจัยพบว่าไม่ต้องใช้เงินมากก็สามารถทำสวัสดิการได้ถึง 5 อย่างคือ “เจ็บป่วย (ชดเชยรายได้เมื่อนอนโรงพยาบาล) ตาย ทุพพลภาพ คลอดบุตร และบำนาญชราภาพ”
แต่ถ้ารัฐต้องการให้คนจนจำนวนมากเข้าถึงสวัสดิการเหล่านี้ก็ควรร่วมจ่าย 50:50
ส่วนแพคเกจประชาวิวัฒน์ของรัฐบาลสิทธิประโยชน์ยัง ไม่จูงใจและน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับเบี้ยประกันที่จ่าย เน้นคนจนเมือง แต่ละเลยแรงงานนอกระบบในภาคเกษตรและผู้รับงานไปทำที่บ้านที่มีอยู่ทั่ว ประเทศ
ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง ผู้อำนวยการวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและการเกษตร สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ระบุว่าข้อจำกัดของแรงงานนอกระบบส่วนใหญ่คือ นอกจากจะมีรายได้ค่อนข้างต่ำแล้ว ยังมีความไม่แน่นอนของอาชีพและรายได้ด้วย
ดังนั้นการสร้างรูปแบบสวัสดิการพื้นฐานของรัฐให้คนกลุ่มนี้ ซึ่งจะต้องเป็นโครงการที่สามารถจูงใจให้พวกเขาสมัครเข้าร่วมต้องเป็น “สวัสดิการที่ดี ราคาถูก และให้สิ่งที่แรงงานนอกระบบต้องการจริงๆ”
สำหรับแนวคิดการขยายประกันสังคมไปสู่แรงงานนอกระบบนั้น ทีดีอาร์ไอได้ทำงานวิจัย เรื่อง แนวทางการขยายความคุ้มโครงโดยรัฐร่วมจ่ายในประกันสังคมมาตรา 40 แห่ง พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 เพื่อศึกษาสวัสดิการที่แรงงานนอกระบบต้องการ ศึกษาดูความสามารถในการจ่ายเท่าไหร่
และศึกษาดูว่าจะจัดสวัสดิการอย่างไรถึงจะให้ยั่งยืนได้ โดยนำสวัสดิการ 5 ด้าน คือ การชดเชยรายได้กรณีเจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต บำนาญ และคลอดบุตร มาให้แรงงานนอกระบบเรียงลำดับความสำคัญ (ไม่รวมอีกสองข้อที่ประกันสังคมทั่วไปมี คือ ไม่มีเงินช่วยเหลือเมื่อว่างงาน และไม่มีการสงเคราะห์บุตร) แล้วนำมาจัดเป็น 6 ชุดสิทธิประโยชน์ และนำไปให้กลุ่มตัวอย่างแรงงานนอกระบบระบุความสามารถในการจ่ายเพื่อให้ได้ ชุดสิทธิประโยชน์นั้น จากนั้นประเมินว่าแต่ละชุดสิทธิประโยชน์นั้นจะต้องการเงินสมทบเท่าไหร่ถึงจะ อยู่ได้ในระยะยาว
การศึกษาทำการสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างแรงงานนอกระบบ อาทิ กลุ่มแท็กซี่ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มรับงานไปทำที่บ้าน ฯลฯ จำนวน 3,093 คน เป็นชาย 1,525 คน หญิง 1,568 คน ผลการสำรวจพบว่า กลุ่มตัวอย่างทั้งชายและหญิงมีแนวโน้มในการให้ความสำคัญกับลำดับของสิทธิ ประโยชน์ไปในทิศทางเดียวกัน โดยให้ความสำคัญกับการชดเชยรายได้เมื่อต้องนอนโรงพยาบาล 2-3 วันขึ้นไปมากที่สุด รองลงมาคือต้องการเงินบำนาญเมื่อสูงอายุ ลำดับต่อมาคือ เงินเลี้ยงชีพกรณีทุพพลภาพ เงินทดแทนกรณีเสียชีวิต และการช่วยเหลือกรณีคลอดบุตร
ในด้านความสามารถในการจ่ายเบี้ยประกัน/เงินสมทบ พบว่า คนส่วนใหญ่จ่ายได้ระหว่าง 50-100 บาทต่อเดือน ถ้าเป็นไปได้ในกลุ่มเกษตรกรขอจ่ายที่ 50 บาทต่อเดือน ส่วนกลุ่มแท็กซี่ในเมืองและแรงงานนอกระบบในจังหวัดใหญ่ส่วนใหญ่บอกว่าจ่าย ได้ที่ 100 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่ง (แต่ไม่ถึงครึ่งของคนที่สำรวจ) ระบุว่าหากสวัสดิการเพิ่มขึ้นก็ยินดีจ่ายเพิ่มแต่ไม่เกินเดือนละ 200-300 บาท
แต่ถ้าเป้าหมายของรัฐคือสร้างระบบสวัสดิการมาความคุ้มครองให้กับคน ที่ยังไม่มีสวัสดิการ ก็ควรเลือกระบบที่สามารถจูงใจให้กลุ่มเป้าหมายสมัครเข้ามาร่วมให้มากที่สุด ..เพราะถ้าระบบไม่จูงใจให้คนเข้าร่วม แต่เมื่อคนกลุ่มนี้เดือดร้อน รัฐก็ต้องเข้ามาดูแลอยู่ดี”
ดร.วิโรจน์ กล่าวว่า ด้วยสมมติฐานดังกล่าวเมื่อต้องการให้คนเข้ามาร่วมมาก ๆ ก็ควรเก็บเบี้ยประกันในอัตราน้อย ๆ เช่น เดือนละไม่เกิน 50-100 บาท และก็ต้องมาดูว่าถ้ามีเงิน 100 บาทต่อเดือนจะเพียงพอสำหรับสิทธิประโยชน์ขนาดไหน ซึ่งจากงานวิจัยพบว่า ในบรรดาชุดสิทธิประโยชน์ที่ให้กลุ่มแรงงานนอกระบบเลือกนั้น เงินสมทบเดือนละ 100 บาทเพียงพอสำหรับการจัดทำสิทธิประโยชน์ชุดที่ค่อนข้างดี (เช่น มีบำนาญให้เดือนละ 1,000 บาท สำหรับคนที่มีอายุมากกว่า 60 ปีที่จ่ายเงินสมทบมาแล้ว 100 เดือน และสามารถจ่ายชดเชยให้ผู้ที่ทุพพลภาพเดือนละ 2,000 บาทตั้งแต่ปีแรก โดยไม่ต้องจ่ายเป็นขยักแบบในโครงการประชาวิวัฒน์)
ในด้านความยั่งยืนของโครงการนั้น การศึกษาพบว่า อาศัยการจ่ายเบี้ยสมทบเดือนละ 100 บาท โครงการจะสามารถอยู่ได้ไปอย่างน้อย 30 ปี ทั้งนี้มีเงื่อนไขข้อเดียวคือสัดส่วนของแรงงานนอกระบบที่เข้าร่วมโครงการจะ ต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็ไม่ยากเลยถ้าโครงการมีชุดสิทธิประโยชน์ที่จูงใจ
ทั้งนี้ แม้กระทั่งการคำนวณที่มีข้อสมมุติว่า แรงงานนอกระบบจะเข้าร่วมโครงการถึงร้อยละ 90 ในปีที่ 10 ซึ่งหมายความว่า อย่างน้อยแรงงานนอกระบบถึงร้อยละ 90 จะได้รับบำนาญในปีที่ 19 เป็นต้นไป ก็พบว่ากองทุนจะยังคงมีเงินเพิ่มขึ้นในระหว่างปีที่ 20-30 ที่ศึกษาไปถึง จึงเชื่อว่าโครงการนี้จะอยู่รอดได้ในระยะยาว
ดร.วิโรจน์ อธิบายว่า สาเหตุที่ผลการศึกษาดูต่างจากที่เสนอในโครงการประชาวิวัฒน์ (ที่ให้ผลประโยชน์ต่ำกว่ามากและไม่มีบำนาญให้) ก็เพราะงานวิจัยนี้ใช้แนวคิดแบบประกันสังคมจริงๆ ซึ่งเป็นแนวคิดแบบเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข ไม่ใช่การคำนวณแบบบริษัทประกัน หรือคำนวณแบบบัญชีรายบุคคล นอกจากนี้ การศึกษานี้คำนวณโดยใช้ความเสี่ยงเฉลี่ยของประชากร (ซึ่งจะตรงกับความเป็นจริงในกรณีที่มีคนเข้าร่วมโครงการจำนวนมาก)
ขณะที่สำนักงานประกันสังคมใช้ความเสี่ยงสูงสุดในอดีตมาเป็นฐานคำนวณ ภายใต้แนวคิดที่ต้องการสร้างระบบสวัสดิการเพื่อคุ้มครองคนที่ตกหล่นในสังคม ความต้องการแท้จริงของตัวแรงงานนอกระบบ และการคำนวณอย่างยุติธรรมบนความเป็นไปได้ในเรื่องค่าใช้จ่ายดำเนินการ ทำให้ได้ชุดสวัสดิการสิทธิประโยชน์ที่ได้รับสัมพันธ์กับความสามารถในการจ่าย ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้คนส่วนใหญ่สนใจเข้ามาร่วม
“วิธีคิดง่าย ๆ จากผลการศึกษาก็คือ เงิน 100 บาทนั้นเพียงพอสำหรับ 5 สิทธิประโยชน์ที่เขาต้องการซึ่งรวมถึงเงินบำนาญอย่างน้อยเดือนละ 1,000 บาท แต่ถ้าจะให้ดีรัฐบาลควรร่วมจ่ายสมทบด้วย ถ้าแบ่งกันจ่ายแบบ 50:50 ก็น่าจะทำให้กลุ่มคนที่ตกหล่นซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจนสามารถเข้าถึงสวัสดิการ ที่ดีในราคาถูก และจูงใจให้สมัครเข้ามาร่วมเป็นจำนวนมาก”
สำหรับประเด็นที่ว่าการช่วยจ่ายเงินสมทบให้แรงงานนอกระบบจะทำให้คน เหล่านี้ได้เปรียบแรงงานในระบบนั้น ดร.วิโรจน์ กล่าวว่าปัจจุบันเงินอุดหนุนที่รัฐให้แรงงานในระบบไม่ได้น้อยกว่าที่ให้กับ แรงงานนอกระบบอย่างที่คนมักจะเข้าใจ ทั้งนี้ แรงงานในระบบได้รับการอุดหนุนจากรัฐจากที่รัฐจ่ายสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ร้อยละ2.75 ของเงินเดือนที่ไม่เกิน 15,000 บาท (หรือไม่เกินคนละ 4,950 บาทต่อปี)
ซึ่งควรสังเกตด้วยว่าการสมทบแบบนี้คนรายได้น้อยก็จะได้รับสมทบจากรัฐน้อย กว่าคนรายได้มาก สำหรับแรงงานนอกระบบนั้น สิ่งที่รัฐจ่ายให้คือโครงการบัตรทองการรักษาฟรี ซึ่งปัจจุบันมีงบเฉลี่ยต่อหัวอยู่ที่ 2,500 บาทต่อคนต่อปี ส่วนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 500 บาท/คน/เดือนก็เป็นสิทธิที่จะได้รับต่อเมื่ออายุ 60 ปีแล้วเท่านั้น
จากแนวคิดและรูปแบบ สวัสดิการดังกล่าว งานวิจัยเสนอว่าในการขยายประกันสังคมไปสู่แรงงานนอกระบบแบบสมัครใจนี้ รัฐควรรับภาระจ่ายสมทบร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่ายของโครงการที่ให้ชุดสิทธิประโยชน์พื้นฐาน (รัฐกับประชาชนจ่ายฝ่ายละ 50 บาทต่อเดือน) ซึ่งกรณีนี้จะต้องแก้กฎหมายประกันสังคมให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ในระยะยาวกองทุนนี้ถูกออกแบบมาให้อยู่ได้ด้วยตัวเองในระยะยาว แต่ในช่วงเริ่มแรก กองทุนคงต้องพึ่งกองทุนประสังคมใหญ่อยู่บ้าง ทั้งในด้านบุคลากร เครื่องมือ และฐานข้อมูล
Relate topics
- ใบสำคัญรับเงิน
- ศูนย์เรียนรู้วิถีธรรมชาติ จะนะ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย โดย อ.จินตนา เจริญเนตรกุล ได้จัดอบรมการแปรรูปอาหารทะเล เช่น การทำข้าวเกรียบ
- บรรยากาศการแสดงโขนเฉลิมพระเกียรติ สุดยอดความอลังการ หนึ่งในกิจกรรมงานอาหารของแม่ เพื่อเทิดพระเกียรติแม่ของแผ่นดิน ณ ถนนสเน่หานุสรณ์
- บรรยากาศงานตลาดนัดเกษตรกรโอเดียน ประจำเดือนกรกฎาคม เมื่อวันที่ 4 ก.ค.58 โดยภายในตลาดไดมีคุณวรรณา สุวรรณชาตรี ผู้ประสานงานโครงการประชุมและเยี่ยมชมตลาด
- วันนี้ โครงการอาหารเป็นยา ปีที่ 2 อาหารเป็นยาสมุนไพร: กรณีศึกษาจังหวัดสงขลา (Food as herbal medicine: A case study of Songkhla province)