วันนี้จะกินอะไรดี ...? ซื้ออะไรดี...? ชอปปิ้งที่ไหนดี...? อยากได้อะไรไหม..?....เป็นคำถามที่คุ้นเคยของผู้บริโภคในยุคบริโภคนิยมที่ตั้งคำถามกับตัวเองและคนรอบข้าง ซึ่งร้อยแปดคำถามที่ยกตัวอย่างมานี้ล้วนแต่ต้องใช้เงินในการจับจ่าย ซื้อหามาทั้งนั้น และก็เป็นกันทุกวันและทุกคนก็ว่าได้ โดยเฉพาะกลุ่มคนเมืองที่พอก้าวขาออกจากบ้านก็เป็นอันให้ต้องควักกระเป๋า
เคยได้ยินคำนี้กันบ้างไหมคะ Buy Nothing Day หรือ วันไม่ซื้อ บังเอิญเข้าไปอ่านเวปไซด์
we change.seubsan.net เค้าชวนรณรงค์สัปดาห์ไม่ซื้อ ในวันที่ 28 มกราคม – 3 กุมภาพันธ์ 2551 น่าสนใจมากเลยทีเดียวค่ะ สงสัยกันใช่มั๊ยคะว่าเราจะไม่ซื้อได้จริงหรือในยุคบริโภคนิยม !!!
Buy Nothing Day เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1992 ที่ประเทศแคนนาดาซึ่งเป็นประเทศตะวันตกที่ประชาชนคือผู้บริโภค "วันไม่ซื้อไม่ได้บอกว่าไม่ควรซื้อสิ่งที่จำเป็นต้องซื้อแต่ต้องการสื่อเพียงว่า ให้รู้จักคิดก่อนซื้อว่าเราซื้ออะไรและมีผลกระทบอะไรบ้าง ทั้งต่อตัวเอง สังคม และสภาพแวดล้อม" ลองคิดดูสิค่ะในทุก ๆ วันที่เราจับจ่ายซื้อของไป วันๆหนึ่งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ มูลค่ามหาศาลมากขนาดไหน และใช้ทรัพยากรอะไรไปบ้าง เพราะเมื่อเราซื้อของชิ้นหนึ่งใช้ของชิ้นหนึ่ง ย่อมทำให้โลกร้อนขึ้นจากทั้งจากกระบวนการผลิตและกระบวนการย่อยสลาย แล้วถ้าเราจะมีสักวันที่เป็นวันไม่ซื้อ ( ใครจะทำทั้งสัปดาห์หรือทั้งปีก็ไม่ว่ากันค่ะ ) คงเป็นการสร้างความสุขที่ได้มาโดยไม่ต้องซื้อหา วันที่ไม่ต้องควักเงินในกระเป๋า วันที่ช่วยประหยัดทรัพยากร วันที่ช่วยลดปัญหาโลกร้อน
หลายคนอาจบอกว่าจะเป็นไปได้ไงก็ในเมื่อต้องกิน ต้องใช้ทุกวัน เป็นไปได้สิค่ะ...! ถ้าคุณลองทำมัน อันดับแรก ก็ต้องกำหนดวันก่อนว่าเราอยากให้วันไหนของเราเป็นวันไม่ซื้อ ต่อไปก็กำหนดกิจกรรมที่จะทำในวันนั้น ว่ามีสิ่งใดที่เราจะทำในวันนั้นโดยไม่ต้องควักเงินในกระเป๋าซื้อหามา หรืออาจจะซื้อได้เฉพาะของที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้นในวันนั้น นั่นก็คือก่อนตัดสินใจซื้อก็ต้องดูว่าของนั่นมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน หรืออาจคิดต่อไป มีสิ่งอื่นที่ไม่ต้องซื้อทดแทนได้ไหม ? ทำลายสิ่งแวดล้อมรึเปล่า? ถ้าเกิดเป็นไปได้ก็อาจจะกำหนดกิจกรรมในวันไม่ซื้อ เช่น ทำกับข้าวกินเองที่บ้าน , เดินไปที่ใกล้ ๆ แทนการนั่งรถ , ปลูกต้นไม้/ ปลูกผักสวนครัวกินได้ หรือจะปลูกทุกอย่างที่กินได้และอยากกินเนรมิตให้เป็นที่ชอปปิ้งส่วนตัวแทนซุปเปอร์มาเกต ก็น่าสนใจ และยังช่วยให้สุขภาพดีจากการกินผัก ผลไม้ ปลอดสารพิษที่คุณปลูกเองอีกด้วย ,เอาเสื้อผ้าที่ใช้แล้วมาดัดแปลงใหม่ ,นำถุงพลาสติกที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ ทำให้คุณไม่ต้องไปซื้อถุงใหม่มาใส่ของ แค่นี้คุณก็มีกิจกรรมที่จะทำในวันไม่ซื้อและก็จะกลายเป็นวันไม่ซื้อจริง ๆ ของคุณไปในที่สุด
จูดิท เลอไวน์ เขียนหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นจากโครงการส่วนตัว ชื่อหนังสือ Not Buying It-My Year Without Shopping ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ 3 ปีก่อน หนังสือที่แปลความได้ว่า ไม่ซื้อมันหรอก หลังจากที่เธอและแฟนตัดสินใจหยุดช๊อปเป็นเวลา1 ปีเต็ม เธอนึกย้อนให้เห็นว่า หลังเหตุการณ์ 9-11 (ตึกเวิลล์เทรดถล่ม) เพียงวันเดียว อดีตนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก บอกกับชาวนิวยอร์กที่ยังตกใจไม่หายว่าให้ “แสดงความมั่นใจ แสดงว่าพวกคุณไม่กลัว โดยการไปร้านอาหาร ไปชอปปิง” และสำหรับคนอื่นที่อยากช่วย “มาที่นิวยอร์กแล้วชอปซะ”
ท่านนายกเทศมนตรีประกาศแบบอเมริกันแท้ๆ การชอปกระหน่ำหลังเกิดวินาศกรรมครั้งใหญ่จึงกลายเป็นภารกิจแสดงความรักชาติของคนอเมริกัน และการ “อยู่ข้างนอกห้างร้าน” ก็ดูเหมือนเป็น “ความไม่รับผิดชอบ” ที่ผ่านมาคนอเมริกันถูกบอกให้เชื่อว่า “ตลาดหมายถึงเสรีภาพ” และ“ทางเลือกของผู้บริโภคหมายถึงประชาธิปไตย”
แต่หลังจากเกิดเหตุ ผู้หญิงคนหนึ่งถูกฝูงชนเหยียบเพราะยื้อแย่งกันซื้อเครื่องเล่นดีวีดีลดราคาเหลือเครื่องละ 29 เหรียญ (986 บาท) ในห้างวอลมาร์ต บวกกับความสมเพชตัวเองของ จูดิท เมื่อชอปของในเทศกาล (น่าจะคริสต์มาส) อย่างบ้าคลั่งจนทะลุวงเงิน ขณะหอบข้างของพะรุงพะรัง และพลั้งทำมันหล่นในแอ่งน้ำเข็ง เธอจึงถามตัวเองว่า นี่คือเสรีภาพละหรือ ? นี่เป็นประชาธิปไตยใช่ไหม ? “มันต้องมีอะไรมากกว่านี้ให้ชีวิตสิ”ถ้าอย่างนั้น... “ I’m not buying it.” ชั้นไม่ซื้อมันแล้วครั้นเมื่อเธอตัดสินใจ เธอก็ไม่ได้ทำมันอย่างเล่น ๆ แค่อาทิตย์เดียวหรือแค่ 3 เดือน แต่ยิงนาวไปเลยทั้งปี 2004
คงไม่แปลกหากใครจะหยุดซื้อและย้ายตัวเองไปอยู่ในชนบทแต่ จูดิท เลอไวท์ มีอาชีพเป็นนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ แอ๊กทิวิสต์ด้านเสรีภาพและสันติภาพ เป็นผู้ก่อตั้งสหภาพนักเขียนแห่งชาติและกลุ่มต่างๆอีกหลายกลุ่ม เธอตัดผมสั้นเกรียน และมีชีวิตแสนเก๋แบบสาวนิวยอร์กผู้มีการงานดี มีความรู้ ชอบดูหนัง ชมงานศิลปะและมีรสนิยมทางการทำและชิมอาหาร แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ซื้อเลย แต่ซื้อเท่าที่จำเป็น เธอจึงมีรายการ “ซื้อได้” และ “งดซื้อ”
จูดิท บอกว่าเมื่อเสร็จสิ้นโครงการว่า แม้จะไม่ได้มีเป้าหมายเรื่องการอดออม แต่เธอก็มีเงินจ่ายค่าหนี้บัตรเครดิตจำนวน 8,000 เหรียญ (272,000 บาท คิดที่เหรียญละ 34 บาท ) ซึ่งแม้จะไม่ได้มากมายอะไร แต่ต้องนับว่าเป็นความสำเร็จสำหรับคนที่อาศัยอยู่ในเมืองละลายทรัพย์อย่างนิวยอร์ก “พื้นที่ทางอารมณ์” ของเธอว่างเหลือเฟือ เธอทำอาหารเอง ทำคุกกกี้แจกตอนคริสมาสต์ และพบว่าความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ และครอบครัวของเธอเป็นไปในทางที่สร้างสรรค์ขึ้นกว่าเดิม เพราะ “ มันเกี่ยวกับการให้” กับตัวเรามากขึ้นกว่าเดิม แทนที่จะซื้อของให้ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเธอคือการได้ “เปลี่ยนจากผู้บริโภค...เป็นพลเมือง”
นี่อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกิจกรรมของวันไม่ซื้อ ที่จะพิสูจน์ตัวเองคุณอาจจะมีกิจกรรมที่ดีกว่านี้ ลองดูนะค่ะกับกิจกรรมที่คุณถนัดและอยากทำให้วันนึงใน1สัปดาห์ของคุณเป็นวันไม่ซื้อ เพราะนอกจากจะประหยัดเงินในกระเป๋าของคุณได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังช่วยแก้ปัญหาสุขภาพ สิ่งแวดล้อม ช่วยลดภาวะโลกร้อนอีกด้วย ร่วมรณรงค์วันไม่ซื้อโดยเริ่มจากตัวคุณเองนะค่ะ และเมื่อคุณทำได้อย่าลืมชวนคนที่คุณรัก คนข้าง ๆ คุณทำวันวันนึงให้เขามีวันไม่ซื้อเช่นคุณ
คงไม่สุดโต่งจนเกินไป แค่อยากให้คุณได้ท้าทายตนเอง มาพิสูจน์กันว่าเราเป็นได้มากกว่าผู้บริโภค ไม่ใช่แค่กลุ่มเป้าหมายที่ผู้ประกอบการอยากได้เงินจากกระเป๋าของเรา แต่เราเป็นประชาชนเป็นพลเมืองของประเทศนี้และของโลกใบนี้ด้วย เรามีสิทธิมีเสียงสามารถเลือกชีวิตและกำหนดอนาคตตัวเองได้
อัญชิษฐา พรหมอินทร์ โครงการบริโภคเพื่อชีวิต สงขลา
Relate topics
- รณรงค์เลิกใช้โฟม
- รายการสงขลามหาชน ตัวอย่างอาหารของแม่ ตอน " บทบาทของพ่อ " อาหารของแม่ สร้างความอบอุ่นของครอบครัวกับมื้ออร่อยที่แม่บรรจงปรุงเพื่อลูก
- ข่าวดีจะดัง ตอนที่ 265 โรงเรียนสุขภาพดี ของ อบต.ควนรู( http://youtu.be/KsuLA7Fguy8 )
- ข่าวดีจะดัง ตอนที่ 265 โรงเรียนสุขภาพดี ของ อบต.ควนรู(7 เม.ย 5…: http://youtu.be/KsuLA7Fguy8 )
- รายการอาหารของแม่ ตอน " อาหารคือภาคีและพื้นที่ " เปิดอร่อยด้วย ยำบัวบก สูตรสมุนไพรภูมิปัญญาถิ่น อบต.ท่าข้าม ของป้ายุพา ผลชนะ