รัฐบาลควรจัดกิจกรรม หรือทุ่มเงินก้อน เพื่อดูแลสุขภาพของประชาชนอย่างถูกวิธีในรูปแบบของการ "ป้องกัน"มากกว่า "คอยตามรักษา"
ศูนย์วิจัยข้อมูลธุรกิจ กรุงเทพธุรกิจ สำรวจความเห็น หนุ่มสาวรุ่นใหม่ถึงไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบัน โดยได้สอบถามไปยังนักเรียนในระดับมัธยมและอาชีวศึกษา 36% ปริญญาตรี 60% และ 4% ของกลุ่มตัวอย่างเรียนในระดับปริญญาโท การลงสำรวจความเห็นกับคนรุ่นใหม่ครั้งนี้ ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด สัดส่วน 50: 50 โดยเป็นหญิง 57 เปอร์เซ็นต์ และชาย 43 เปอร์เซ็นต์ ระหว่างวันที่ 30 กรกฎาคม - 14 สิงหาคม 2553 (โดยกลุ่มตัวอย่างสามารถเลือกตอบกิจกรรมยามว่างได้มากกว่า 1 ข้อ) พบว่า 39% ของคนรุ่นใหม่ ใช้เวลาว่างไปกับการท่องเว็บ 58% ใช้เวลาไปกับการดูโทรทัศน์/ฟังวิทยุ 45% เลือกที่จะอ่านหนังสืออีก 8% เน้นทำกิจกรรมทางศาสนา
จะเห็นได้ว่า พฤติกรรมการเปิดรับสื่อของเด็กรุ่นใหม่ในสื่อโทรทัศน์ และวิทยุ ยังคงนำโด่งมาเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยสื่อเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างอินเทอร์เน็ต ซึ่งพฤติกรรม และความสนใจในการรับข่าวสารแต่ละช่องทางดังกล่าว ทำให้สินค้า และบริการ พร้อมใจกันทุ่มใช้เม็ดเงินเป็นหลักสิบล้านบาทต่อปีเพื่อสื่อสารการตลาดไปยังกลุ่มผู้บริโภคที่คาดหวัง
ผลจากการอัดแคมเปญเชิงรุกเพื่อกระตุ้นความสนใจและยอดซื้อจากผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ของผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้า/บริการซึ่งดำเนินมาอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องมาเป็นเวลานานนับสิบปี เริ่มส่งผลถึงพฤติกรรมการบริโภคคนไทยวันนี้......เปลี่ยนไป
ยอดขายของกลุ่มอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ด ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มน้ำอัดลม ฯลฯ ยังคงมีมูลค่าสูงต่อปี แม้ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้ากลุ่มนี้จะเคยถูกตั้งคำถามถึงประเด็นผลกระทบต่อสุขภาพอันเนื่องจากการบริโภคสินค้าดังกล่าว ทั้งจากวัตถุดิบ กระบวนการผลิต และสิ่งที่ถูกปรุงขึ้นด้วยไขมัน น้ำตาล และเกลือ ในระดับที่อาจส่งผลต่อสุขภาพหากบริโภคเป็นจำนวนมาก
ข้อมูลจากแผนยุทธศาสตร์สุขภาพดีที่จัดทำโดยกระทรวงสาธารณสุข มหาวิทยาลัยมหิดล และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ระบุว่า การบริโภคน้ำตาลต่อหัวในประเทศไทยเท่ากับ 33 กิโลกรัมในปี พ.ศ.2549 หรือเท่ากับ 20 ช้อนชาต่อคนต่อวัน เทียบกับปริมาณเฉลี่ยที่คนทั่วโลกรับประทานคือ 11 ช้อนชาต่อคนต่อวัน ซึ่งเป็นปริมาณที่เกินกว่าสิ่งที่แนะนำให้คนไทยบริโภคน้ำตาล 6 ช้อนชาหรือ 24 กรัมต่อวัน
ขณะที่ในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีมีการบริโภคน้ำตาลโดยเฉลี่ยมากถึง 8 ช้อนชาหรือ 30.4 กรัมต่อวันหรือ 11 กิโลกรัมต่อปี ตัวเลขอ้างอิงจาก กรมอนามัย ถึงผลสำรวจคนไทยโดยเฉลี่ยบริโภคเกลือโซเดียมที่ 4,352 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งก็มากกว่าปริมาณที่แนะนำให้คนไทยบริโภคที่ 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน ทำให้เป็นเรื่องน่าห่วงว่าการบริโภคเกลือโซเดียมเกินควรเช่นนี้ อาจนำสู่โรคความดันโลหิตสูงและโรคไต ได้
นพ.อุกฤษฎ์ มิลินทางกูร เลขาธิการมูลนิธิหมอชาวบ้าน ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรได้ตีพิมพ์นิตยสารเพื่อผู้บริโภคด้านสุขภาพในชื่อเดียวกันกับองค์กร ว่า ผู้คนควรได้รับการสอนเกี่ยวการดูแลสุขภาพด้วยตนเองเบื้องต้น รวมถึงการทานอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ที่สำคัญผู้บริโภคคนไทยควรได้รับข้อมูลความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโภชนาการเพื่อยกระดับไปสู่ "ผู้บริโภคฉลาดเลือก"
"การที่จะหยุดกระแสการตลาดที่โหมหนักจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เราจำเป็นต้องมีนักการสื่อสารเพื่อสุขภาพที่เป็นมืออาชีพและมีความสามารถเสมอกันพอจะต่อกรกับคนที่บริษัทโฆษณาจ้างมาได้ เพื่อมาทำกิจกรรมรณรงค์ให้ความรู้แก่สาธารณชนอย่างมีประสิทธิภาพ" นพ.อุกฤษฎ์ กล่าว
โดยที่องค์กรภาครัฐควรดึงให้อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเข้ามามีส่วนร่วมในทุกช่องทางการสื่อสารรวมถึงสื่อสังคมออนไลน์หรือโซเซียล มีเดีย (Social Media) ในการที่จะเข้าถึงผู้คนจำนวนมากและกว้างขวางขึ้น
"เราต้องส่งสารไปให้ถึงผู้บริโภคโดยเฉพาะเยาวชนที่ปกป้องตนเองไม่ได้ เริ่มจากพ่อแม่ผู้ปกครองที่ต้องคอยดูแลเด็กและกลุ่มนักเรียนตามโรงเรียนต่างๆ เพื่อให้พวกเขาเติบโตเป็นผู้บริโภคที่ฉลาดและสามารถเลือกด้วยตัวเองว่าอะไรดีสำหรับสุขภาพของพวกเขาและบุคคลรอบข้าง ที่สำคัญคือ การมีชุดนโยบายสาธารณะจัดทำโดยรัฐบาล ที่มีเนื้อหาครอบคลุมและส่งสารไปยังกลุ่มผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายรวมถึง ผู้ผลิตสินค้าอาหาร นักโฆษณาและนักการตลาด โดยมีครอบครัวเป็นศูนย์กลางของการรณรงค์เพื่อส่งเสริมสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ"
ความกังวลถึงสุขภาวะและพฤติกรรมบริโภคคนไทย ยังมีหลายภาคส่วนที่สะท้อน เช่นในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค รายงานไว้ในเว็บไซต์องค์กรถึงการประมาณการว่ามีเด็กและเยาวชนอายุ 5-24 ปี จำนวน 21 ล้านคนในประเทศไทย จะมีเงินค่าขนมโดยเฉลี่ยที่ 800 บาทต่อเดือน นั่นหมายถึงเงินประมาณ 202,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขจูงใจสำหรับผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าในการดึงเด็กกลุ่มนี้มาเป็นตลาดเป้าหมาย
ความคิดเห็นจากหลายภาคส่วนบนเวที "วาระประเทศไทย : ซ่อม-สร้าง คุณภาพชีวิตคนไทย" เนื่องในโอกาสบริษัท เนชั่นมัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในวาระครบรอบ 40 ปีในปีต่างก็มองว่า รัฐบาลควรจัดกิจกรรม หรือทุ่มเงินก้อน เพื่อดูแลสุขภาพของประชาชนอย่างถูกวิธีในรูปแบบของการ "ป้องกัน" มากกว่า "คอยตามรักษา"
นพ.สิทธิสัตย์ เจียมวงศ์แพทย์ เลขาธิการราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การดึงเอาแนวคิดของแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวมาปฏิบัติอย่างจริงจังโดยรัฐบาล เพื่อสร้างเวชศาสตร์ป้องกัน มากกว่าการ "ตามแก้" “แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวจะใช้วิธีแบบองค์รวมในการส่งเสริมสุขภาพและการรักษาคน เราดูปัจจัยสถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจและลักษณะทางกรรมพันธุ์เมื่อทำการรักษาคนไข้และคนในครอบครัวของเขาด้วย ซึ่งนี่ก็ต้องใช้ความรู้ที่รอบด้านในการช่วยผู้คนให้ดูแลสุขภาพของพวกเขาเองหรือในการรักษาพวกเขา” นพ.สิทธิสัตย์ กล่าว
การขับเคลื่อนสำคัญคือการกระตุ้นนักการเมืองที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบการสาธารณสุขให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะไม่เพียงการบอกให้คนไทยหันมารักษาสุขภาพเท่านั้น รัฐบาลยังต้องทำหน้าที่วางกรอบมาตรการข้อบังคับที่มีประสิทธิภาพด้วย ไม่อย่างนั้น บางคนก็อาจพยายามหาประโยชน์จากวิกฤติทางสุขภาพของประเทศเพื่อผลกำไร เห็นได้จากการโฆษณาของกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มักถูกพูดขยายผลเกินกว่าความจริงและทำให้ผู้บริโภคหลงผิดได้
ขณะที่ รศ.นพ.วิชัย เอกพลากร จากภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า รัฐบาลควรจะใช้เงินมากกว่านี้ในการป้องกันโรคแทนที่จะใช้เงินแทบทั้งหมดไปในการรักษาโรคโดยเฉพาะสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่รับผิดชอบเรื่องการบริการสุขภาพดีถ้วนหน้าให้คนจำนวน 48 ล้านคนนั้นไม่ได้ใช้เงินในการป้องกันโรคอย่างเพียงพอโดยใช้เงินในการนี้เพียงประมาณ 5% ของงบประจำปีเท่านั้น
ด้าน รศ.ดร.สำอาง สืบสมาน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโภชนาการชุมชนจากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มองว่า ประเทศไทยเคยใช้กลไกที่ดีในการสอดส่องหาทุพโภชนาการ แต่เมื่อรูปแบบของการขาดสารอาหารอย่างรุนแรงได้ถูกกำจัดไปแล้ว รัฐบาลก็ลดแนวการป้องกันลง
“นี่อธิบายได้ว่า เมื่อเราเผชิญกับกระแสเรื่องโรคอ้วนในเด็ก เราก็ไม่มีการเตรียมตัวรับมือเลย” สำอางกล่าว
การสำรวจสภาวะสุขภาพอนามัยของประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย พ.ศ.2551-2552 ที่ได้รับมอบหมายให้ทำขึ้นโดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) พบว่าเด็กจำนวน 540,000 คนหรือ 4.7% ของเด็กไทยอายุระหว่าง 1-14 ปีถูกจัดว่ามีน้ำหนักเกินและเป็นโรคอ้วน โดยมีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ที่ 25 และมากกว่านั้น และในจำนวนเด็กเหล่านี้ 135,000 คนมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2
“เราจำเป็นต้องพัฒนาภูมิคุ้มกันให้กับคนของเรา มาตรการซึ่งทำทีละชิ้นทีละส่วนนั้นไม่ได้ผล วิธีที่ดีที่สุดคือต้องใช้การแก้ปัญหาโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน” รศ.ดร.สำอาง กล่าวและว่า การจัดการปัญหาน้ำหนักเกินมาตรฐานและโรคอ้วนในเด็กนั้นมีความซับซ้อนมากกว่าสิ่งอื่น เช่น การขาดสารอาหารโปรตีนเพราะว่าบริษัทอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ มีเงินทุนจำนวนมหาศาลที่พร้อมจะลงทุนทำการโฆษณาสินค้าของพวกเขา
โอกาสได้ชัยชนะจะมีมากขึ้นโดยการให้คนในชุมชนทำงานร่วมกันกับครอบครัวในการดูแลเด็กและเยาวชนของพวกเขาเพื่อต่อกรกับการตลาดที่รุกหนักโดยบริษัทอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ การส่งเสริมสุขภาพที่ได้ผลนั้นต้องรวมถึงการที่จะให้ความรู้แก่ผู้คนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันต้านการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่อาจไม่ดีกับสุขภาพของผู้คน
พอจะสรุปได้ว่า การดูแลสุขภาพของคนไทยยุคใหม่ ต้องรวมทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล ชุมชน และครอบครัวเพื่อให้ความรู้ด้านสุขภาพอย่างถูกต้อง เพื่อนำไปสู่การบริโภคอย่างถูกวิธี
ล้อมกรอบ
เด็กไทยสุขภาพดี
กนกทิพย์ ปริญญานุสสรณ์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร โภชนาการ และสุขภาพ ของบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จํากัด เปิดเผยว่า เครื่องดื่มกาแฟพร้อมดื่ม เนสกาแฟที่ถูกปรับสูตรใหม่ตอนนี้มีน้ำตาลน้อยลง 25% ส่วนผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ผงชงดื่มเนสทีและไมโล 3 in 1 นั้นก็ตัดส่วนผสมน้ำตาลลง 5% และ 9.5%
"เราคำนึงอย่างจริงจังถึงความจำเป็นที่จะต้องลดน้ำตาล ไขมันและเกลือโซเดียมลง ซึ่งศูนย์วิจัยเนสท์เล่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ทำงานอย่างใกล้ชิด กับศูนย์วิจัยและพัฒนาและเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์อื่นๆ จำนวน 28 แห่งซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5,200 คนจากหลากสาขา รวมถึงนักวิจัย นักโภชนาการ นักวิทยาศาสตร์ และนักมานุษยวิทยามาทำงานเพื่อเป้าหมายที่จะค้นหาวิธีแก้ปัญหาให้ผลิตภัณฑ์มีรสชาติดีกว่าและมีโภชนาการสูงกว่า"
กนกทิพย์ ยกตัวอย่างว่า เช่นเรื่องการลดความหวานนั้น ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปประมาณ 1-5% ต่อปี และควรทำในวิธีที่ผู้บริโภคแทบจะไม่สังเกตเห็นความแตกต่างเลย เช่น เป็นที่ทราบกันดีถึงข้อเท็จจริงว่า ถ้าใส่วานิลลาเพิ่มขึ้นสักนิดก็จะทดแทนความหวานที่ลดลงได้เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน เนสท์เล่ (ไทย) ก็ได้ดำเนินการรณรงค์ให้ความรู้ที่ทำมานานอย่างต่อเนื่องชื่อ อาหารที่สมดุลและวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี (Balanced Diet & Healthy Lifestyle) เพื่อส่งเสริมความมีสุขภาพดีไปทั่วประเทศ
ภายใต้การรณรงค์ทางการศึกษานี้ เนสท์เล่ (ไทย) ก็ได้ริเริ่มโครงการชื่อ เด็กไทยสุขภาพดี (Healthy Thai Kids) มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 ซึ่งได้รับการออกแบบให้อบรมครูและให้ความรู้กับนักเรียนอายุ 8-12 ปีเกี่ยวกับความสำคัญของโภชนศึกษาและทำให้การเรียนรู้เต็มไปด้วยความสนุก โครงการนี้ได้ถูกนำไปปฏิบัติในความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการ
ในรอบหกปีที่ผ่านมา สื่อการสอนที่ทั้งให้ความรู้และความบันเทิงนั้นก็เข้าไปถึงโรงเรียนจำนวน 1.2 หมื่นแห่งทั่วไทย และมีการจัดโรดโชว์จัดกิจกรรมไปตามโรงเรียนต่างๆ ถึง 225 ครั้ง และในปี พ.ศ.2553 นี้ บริษัทก็วางแผนจะเยี่ยมโรงเรียนอีก 70 แห่งและแจกจ่ายชุดสื่อการสอนที่ทั้งให้ความรู้และความบันเทิงจำนวน 2,000 ชุดด้วย
งานวิจัยหลายชิ้นได้ชี้ให้เห็นชัดเจนถึงความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในนิสัยการกินของเด็กไทยและการทำกิจกรรมที่ใช้กำลังกายก็ได้ลดลงอย่างมาก กล่าวคือมีการบริโภคอาหารที่มีโภชนาการไม่ครบถ้วนสมดุลบวกกับการไม่ออกกำลังกายก็จะนำไปสู่ภาวะน้ำหนักเกินมาตรฐานและโรคอ้วน
“กิจกรรมรณรงค์นี้ก็แสดงให้เห็นถึงพันธกิจความมุ่งมั่นของ เนสท์เล่ ในการพูดถึงปัญหาโรคอ้วนในเด็กนักเรียน เราเชื่อว่า โภชนศึกษาที่สอนให้กับเด็กตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยปลูกฝังนิสัยการกินที่ดีและในที่สุดก็ช่วยส่งเสริมให้พวกเขามีสุขภาพที่ดีตลอดชีวิต” กนกทิพย์ กล่าว
เธอ กล่าวอีกว่า บางทีปัญหานิสัยการกินที่ไม่ดีของเด็กๆ นั้นก็มาจากความหวังดีของพ่อแม่หรือครูอาจารย์ “พวกเขาคิดว่าเด็กๆ จะเบื่ออาหาร พวกเขาจึงใส่น้ำตาลลงไปในทุกอย่าง”
ยกตัวอย่างเช่น ไมโลสูตรปรับปรุงใหม่จะยังคงมีรสชาติเต็มเปี่ยม เข้มข้น แต่ว่ามีปริมาณน้ำตาลน้อยลง บางครั้งวิธีการเตรียมอาหารหรือเครื่องดื่มก็มีความสำคัญ
“เราบอกให้ผู้บริโภคเตรียมเครื่องดื่มนี้ด้วยนมอุ่นๆ แทนที่จะใช้น้ำร้อน เพราะแม้กระทั่งอุณหภูมิก็สามารถมีผลกับความคิดเห็นผู้คนเกี่ยวกับความหวาน”
ส่วนเทคนิคที่จะให้ได้คุณค่าทางอาหารที่ดี กนกทิพย์ บอกว่า ควรทำให้แน่ใจว่าเด็กนักเรียนไม่เกิดอาการหิวระหว่างมื้อ จึงควรมีอาหารว่างหรือเครื่องดื่มให้พวกเขาโดยที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายจากการมีน้ำตาล เกลือหรือไขมันมากเกินไป
"เนสท์เล่ เน้นย้ำความสำคัญอย่างมากถึงความโปร่งใสในการติดฉลากสินค้าอาหาร เราพบว่าตารางโภชนาการอาหารนั้นมีความซับซ้อนเกินไปสำหรับผู้บริโภคส่วนใหญ่ คนมักจะไม่ค่อยเข้าใจเนื้อหามัน เราจึงเน้นไปที่ส่วนประกอบที่เป็นน้ำตาล ไขมัน และเกลือโซเดียม และพลังงานทั้งหมดที่จะได้โดยจัดให้อยู่ในรูปแบบที่อ่านเข้าใจง่าย" เธอ ยืนยัน
อย่างไรก็ตาม เนสท์เล่ (ไทย) ในฐานะที่เป็นองค์กรพลเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ได้เข้าร่วมดำเนินการตามข้อตกลงสนับสนุนนโยบายการโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มด้วยความรับผิดชอบ หรือ Thai Pledge ในอันที่จะเปลี่ยนแปลงโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มในโทรทัศน์ โดย เนสท์เล่ (ไทย) จะไม่ทำโฆษณามุ่งเป้าไปที่เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีไม่ว่าสินค้านั้นจะมีรายงานข้อมูลโภชนาการอย่างไร เป็นต้น
Relate topics
- ใบสำคัญรับเงิน
- ศูนย์เรียนรู้วิถีธรรมชาติ จะนะ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย โดย อ.จินตนา เจริญเนตรกุล ได้จัดอบรมการแปรรูปอาหารทะเล เช่น การทำข้าวเกรียบ
- บรรยากาศการแสดงโขนเฉลิมพระเกียรติ สุดยอดความอลังการ หนึ่งในกิจกรรมงานอาหารของแม่ เพื่อเทิดพระเกียรติแม่ของแผ่นดิน ณ ถนนสเน่หานุสรณ์
- บรรยากาศงานตลาดนัดเกษตรกรโอเดียน ประจำเดือนกรกฎาคม เมื่อวันที่ 4 ก.ค.58 โดยภายในตลาดไดมีคุณวรรณา สุวรรณชาตรี ผู้ประสานงานโครงการประชุมและเยี่ยมชมตลาด
- วันนี้ โครงการอาหารเป็นยา ปีที่ 2 อาหารเป็นยาสมุนไพร: กรณีศึกษาจังหวัดสงขลา (Food as herbal medicine: A case study of Songkhla province)